ในปี 2025 นี้ โลกออนไลน์มันไม่เหมือนเดิมแล้วครับ เว็บไซต์ไม่ใช่แค่หน้าตาของบริษัทอีกต่อไป แต่กลายเป็น “สำนักงานใหญ่” ในโลกออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับลูกค้า การตลาด และแม้กระทั่งระบบหลังบ้าน ถ้าเว็บล้าสมัยหรือใช้งานยาก โหลดช้า ผลที่ตามมาคือคุณอาจจะเสียลูกค้าไปให้คู่แข่งทันที
หลายคนมักคิดว่า ปรับปรุงเว็บไซต์ ก็คือทำให้เว็บดูสวยขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นเลยครับ การปรับปรุงเว็บไซต์ที่ดีต้องครอบคลุมทั้ง กลยุทธ์, UX, Content, Performance, Design และ Technology
ก่อนอื่น… ทำไมต้องปรับปรุงเว็บไซต์
เวลาเราพูดถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ ส่วนใหญ่คนจะคิดถึง “ดีไซน์ใหม่” อย่างเดียว แต่ในมุมของการทำงานจริง ๆ แล้ว เว็บไซต์คือสิ่งที่ต้องมองหลายมิติพร้อมกันครับ
- มุมดีไซน์: เรื่องความสวย ความทันสมัย การจัดวางเลย์เอาต์ Typography, สี และการใช้ภาพ ต้องทำให้ผู้เข้ามารู้สึกว่า “นี่แหละแบรนด์เดียวกับที่ฉันรู้จัก” ไม่ใช่ว่าของจริงหรูหรา แต่หน้าเว็บเหมือนเว็บราชการครับ (หรือบางเว็บกลับกันก็มีนะครับ แบรนด์หรูมากแต่ทำเว็บเหมือนจ้างถูกๆ ทำ พวกนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์แบรนด์หมดเลยครับ)
- มุมการทำ SEO และการสร้างการขาย หรืออื่น ๆ: Performance เป็นสิ่งที่สำคัญในยุคนี้คน 70% ใช้มือถือในการเข้าเว็บไซต์ เพราะฉนั้นแล้วความเร็วเว็บไซต์ (Core Web Vitals), การปรับเว็บไซต์ให้ SEO-friendly, การวางโครงสร้างหน้าเพจ รวมถึงการปรับคอนเทนต์ให้ส่งเสริมการขายจริง หรือ วางให้บรรลุจุดประสงค์อื่นๆ อาจเป็นการเก็บ Lead, หรือเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นต้น
- ผมมีบทความเขียนอธิบายเรื่อง SEO ด้วยนะครับ: SEO คืออะไร วิธีทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google
- มุมการเป็นภาพลักษณ์ของธุรกิจ: บริษัทใหญ่ ๆ มักให้ความสำคัญกับดีไซน์มากเป็นพิเศษครับ อย่างที่เห็นกันทั่วไป เช่นธนาคารใหญ่ ๆ กลุ่มบริษัทต่าง ๆ บริษัทที่ชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ เพราะเว็บไม่ได้เป็นแค่ “สำนักงานใหญ่ออนไลน์” แค่ชื่อเท่านั้น แต่มันคือ “สำนักงานใหญ่” จริงๆ ครับ เพราะเว็บไซต์สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ระดับองค์กรตั้งแต่หัวจรดเท้า การดีไซน์ต้องมีการ “รักษาความสม่ำเสมอของแบรนด์ (Branding consistency)” ทั้งสี ฟอนต์ โลโก้ และสไตล์ภาพ เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเป็นแบรนด์เดียวกันทุกช่องทาง ไม่ว่าจะดูโบรชัวร์, โฆษณา, หรือเข้ามาที่เว็บไซต์ครับ โดยธุรกิจที่ขนาดเล็กกว่าสามารถนำตรงนี้มาใช้ได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ ไม่ว่าจะมีช่องทางโฆษณามากหรือน้อย การทำเว็บไซต์ให้สะท้อนภาพลักษณ์ของธุรกิจหรือแบรนด์ที่มี จะเป็นอะไรที่ยกระดับหลาย ๆ อย่างขึ้นมาได้ทันที
ขั้นตอนในการปรับปรุงเว็บไซต์
ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

1. วิเคราะห์และประเมินเว็บไซต์ปัจจุบัน

การปรับปรุงเว็บไซต์ก็เช่นเดียวกับการทำเว็บไซต์สักเว็บไซต์นึงครับ เราตั้งจุดประสงค์ก่อน และลองหา Pain point ปัจจุบันจากเว็บปัจจุบันดูครับว่าเว็บมีอะไรที่ควรปรับแก้ เช่น
- เว็บไซต์ใช้งานมานานแล้ว ดีไซน์เก่า
- UX ไม่ดี ลูกค้าหาไม่เจอ เว็บโหลดช้า
- แสดงผลไม่ดีในแท็บเล็ตและมือถือ (ไม่ Responsive)
- ไม่สร้างยอดขาย ไม่มี Conversion
- อันดับ SEO ไม่ดี
- ไม่สะท้อน Branding เว็บดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ
- ทั้งหมดนี้ผมเคยเขียนเป็นบทความไว้แล้วที่: เมื่อไหร่ดี ที่ควร “ปรับปรุงเว็บไซต์” นะครับ เผื่อใครอยากลงรายละเอียดว่าอาการมันเป็นอย่างไร
ทีนี้ ลองมาดูว่าลูกค้าของเรา เป็นอย่างไร พฤติกรรมของแต่ละเจ้าเป็นอย่างไร เพราะการปรับปรุงเว็บไซต์ที่ดีต้องเริ่มจาก การเข้าใจผู้ใช้งาน (User Persona) และลูกค้าเป้าหมาย (Buyer Persona) ก่อน
- User Persona → คนที่ใช้งานเว็บ เช่น ผู้มาหาข้อมูล, ผู้สั่งซื้อสินค้า, หรือแอดมินที่ต้องจัดการหลังบ้าน
- Buyer Persona → คนที่ตัดสินใจซื้อ เช่น ฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่ายการตลาด, ผู้บริหาร
จากนั้นเราต้อง map journey ว่าแต่ละ persona เจออะไรบ้าง
- Awareness → เจอเราผ่าน Google, Ads, Social
- Consideration → อ่านบทความ, ดู Case study, เปรียบเทียบราคา
- Decision → กรอกฟอร์ม, Add to cart, นัดเดโม่
- Retention → ดูคู่มือ, Support, Newsletter
เว็บไซต์ที่ดีจะต้อง support ทุก stage ของ journey ไม่ใช่แค่หน้า homepage ที่สวยครับ
2. กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์

ทีนี้ หลังจากได้คำตอบจากข้อด้านบนแล้ว ลองมากำหนดดูครับว่าความคาดหวังหลังจากปรับปรุงเว็บไซต์เสร็จแล้วเป็นอย่างไร
แน่นอนครับ “สวยกว่า” เป็นข้อนึงอยู่แล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไปด้านบนของบทความ ปรับให้สวยอย่างเดียวอาจไม่คุ้มค่ากับการลงแรง ลงเงินและเวลาเท่าไหร่ครับ
คุณอาจกำหนดจุดประสงค์เป็นข้อ ๆ ก็ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น
- ปรับปรุงอันดับ SEO
- ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ได้ทำ SEO ตั้งแต่แรก หรือโครงสร้างเว็บไม่เหมาะกับ Search Engine หรือไม่มีคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์จริง ๆ หรือการที่เคยทำ SEO แบบไม่ถูกวิธีมาก่อนการปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่จะช่วยแก้ด้วยการวางโครงสร้างเว็บใหม่, ทำ On-page SEO, ใส่คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง และเชื่อมช่องทาง Social/Ads ให้ดึงคนเข้ามามากขึ้นครับ
- ผมมีอธิบายละเอียดเรื่อง SEO ด้วยนะครับ: SEO คืออะไร วิธีทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google
- ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ได้ทำ SEO ตั้งแต่แรก หรือโครงสร้างเว็บไม่เหมาะกับ Search Engine หรือไม่มีคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์จริง ๆ หรือการที่เคยทำ SEO แบบไม่ถูกวิธีมาก่อนการปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่จะช่วยแก้ด้วยการวางโครงสร้างเว็บใหม่, ทำ On-page SEO, ใส่คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง และเชื่อมช่องทาง Social/Ads ให้ดึงคนเข้ามามากขึ้นครับ
- ทำหน้าเว็บลดอัตราการกดปิด (Bounce Rate) หรือเพิ่ม Engagement Rate
- ต่อให้มีคนเข้ามาเว็บเยอะ แต่ถ้าเจอหน้าเว็บโหลดช้า ดีไซน์รก หรือต้องหาข้อมูลหลายคลิกเกินไป คนก็จะกดปิดเว็บทันทีครับ ดังนั้นการปรับปรุงเว็บไซต์ควรเน้นเรื่อง UX (User Experience) เช่น จัดเลย์เอาท์ให้อ่านง่าย ใส่ Call-to-Action ที่ชัดเจน ทำให้คนอยากอยู่ในเว็บนานขึ้น กดอ่านต่อ หรือคลิกไปที่หน้าสินค้า/บริการอื่น ๆ ซึ่งตรงนี้จะช่วยเพิ่ม Engagement Rate และทำให้ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นครับ
- แก้ Pain Point ที่ได้ข้อมูลจากลูกค้ามา
- หลายธุรกิจบ่นว่า “มีคนเข้าเว็บนะ แต่ขายไม่ได้เลย” สาเหตุคือ Funnel บนเว็บไม่สมบูรณ์ เช่น ลูกค้าไม่เข้าใจเว็บm ลูกค้าไม่เข้าใจสินค้าและบริการ, ไม่มีจุดดึง Lead, ระบบ E-commerce ซับซ้อน, หรือแบบฟอร์มติดต่อยาก การปรับปรุงเว็บไซต์โดยเข้าใจลูกค้าจะทำให้ Funnel ชัดขึ้นครับ ลองเริ่มวางโครงเว็บกับเขียนคอนเทนต์ ที่ทำให้ลูกค้าเริ่มไปตาม Funnel ก็ได้ครับ เช่นเริ่มจาก Awareness → Consideration → Purchase ประมาณนี้
3. ปรับปรุงเนื้อหาและรูปลักษณ์

เวลาลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ สิ่งแรกที่เขาเห็นไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่คือ ภาพรวมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ครับ หลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจทำเว็บเสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้หลายปี ไม่ได้อัพเดตอะไรเลย ผลก็คือเว็บเริ่มดูเชย ข้อมูลไม่ตรงกับปัจจุบัน และลูกค้าอาจรู้สึกว่า เอ๊ะ แบรนด์นี้ยัง Active อยู่หรือเปล่า (อารมณ์เหมือนเราเข้าไปร้านอาหารที่เคยกิน แต่มารอบนี้ดูโทรม ๆ เราก็คงเอะใจครับว่าร้านนี้ยังขายอยู่ไหม หรือที่สำคัญกว่าคือ ร้านนี้ยังอร่อยเหมือนเดิมไหม) ตรงนี้เองที่การปรับปรุงเว็บไซต์จะเข้ามาช่วยได้ครับ
สิ่งที่ควรโฟกัสคือ:
- เขียนและอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
เช่น บทความที่ตอบคำถามลูกค้า รีวิวเคสจริง ข่าวสารใหม่ ๆ ของบริษัท หรือโปรโมชั่นล่าสุด การมีคอนเทนต์ที่สดใหม่จะทำให้เว็บดูมีชีวิตชีวา และยังช่วย SEO ด้วยครับ- ถ้าเป็นบริษัท ผมจะแนะนำมากๆ เลยครับ ต่อให้ไม่มีบทความอะไรใหม่ๆ หรือไม่มีทีมคอนเทนต์ที่มาเขียนบทความให้ ผมแนะนำจริงๆ มีระบบข่าวสาร ที่อัพเดทว่าบริษัทมีกิจกรรมอะไร ไปทำอะไรที่ไหน ก็เป็นตัวช่วยเสริมตรงนี้ได้เป็นอย่างดีเลยครับ เว็บไซต์จะได้ไม่นิ่ง
- ที่สำคัญการเขียนอัพเดทบริษัท โดยทั่วไปก็จะไม่ได้อัพเว็บอย่างเดียวครับ แต่ก็จะไปโพสที่ Social Media อื่นๆ ด้วย ก็ถือเป็น Win-Win นะครับ
- มีหลากหลายเคสที่การเขียนบทความที่เน้นย้ำว่าเขียนแล้วมีประโยชน์ต่อคนอ่านจริง ๆ เป็นตัวเรียกลูกค้าแบบไม่ยิง Ads เลยครับ ชนิดที่บทความที่ปั้มจาก AI มาลงเป็น 10 อันก็สู้ไม่ได้ครับ
- ใช้ภาพและมัลติมีเดียที่น่าสนใจ
เว็บยุคนี้ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือยาว ๆ แล้วครับ ลูกค้าคาดหวังว่าจะเห็นภาพที่สวยคมชัด วิดีโอสั้น ๆ หรือแม้แต่ Infographic ที่สื่อสารข้อมูลได้ไวและชัดเจน ซึ่งจะช่วยลด Bounce Rate และทำให้คนอยู่ในเว็บนานขึ้น - ออกแบบและจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ใช้งานง่ายและสวยงาม
การวางโครงสร้างเว็บต้องทำให้ลูกค้าหาข้อมูลที่ต้องการได้ทันที เช่น เมนูที่ชัดเจน ปุ่ม Call-to-Action (เป็นส่วนที่ดีมาก ๆ ครับ ถ้าลูกค้าเกิดอยากสนใจสอบถาม หรือสั่งซื้อกลางคัน) ที่เด่นในตำแหน่งเหมาะสม และการจัดวางที่ไม่ทำให้ตาลาย - ใช้สีสันและฟอนต์ที่สอดคล้องกับแบรนด์
เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้หลายคนมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วการใช้โทนสีและฟอนต์ให้ตรงกับ Corporate Identity ช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพ และทำให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้นครับ สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่เดิมว่า เว็บกับแบรนดิ้งของธุรกิจควรไปในทิศทางเดียวกันครับ - ลองโฟกัสเรื่อง EEAT
- E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness (ประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ, ความน่าเชื่อถือ, ความไว้วางใจ) ซึ่งเป็นแนวทางที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ธุรกิจหรือเว็บไซต์ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งจริงๆ สามารถใช้ Framework นี้ในการเตรียมเนื้อหาหรือเขียน Content ได้เลยนะครับ
- Experience (ประสบการณ์) – แสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าคุณมีประสบการณ์จริงกับสินค้าหรือบริการ
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ) – เนื้อหาต้องถูกต้อง มีความรู้เฉพาะด้าน เช่น บทความทางการแพทย์, กฎหมาย, เทคนิคต่าง ๆ
- Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ) – เว็บไซต์ของคุณหรือผู้เขียนมีชื่อเสียงในวงการนั้น ๆ
- Trustworthiness (ความไว้วางใจ) – มีข้อมูลติดต่อชัดเจน รีวิวจริง มีตัวตนจริง
- การทำเว็บไซต์ที่ใช้หลัก E-E-A-T ไม่เพียงช่วย SEO แต่ยังสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ ทำให้คนอยากกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าบนเว็บของคุณครับ
- E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness (ประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ, ความน่าเชื่อถือ, ความไว้วางใจ) ซึ่งเป็นแนวทางที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ธุรกิจหรือเว็บไซต์ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งจริงๆ สามารถใช้ Framework นี้ในการเตรียมเนื้อหาหรือเขียน Content ได้เลยนะครับ
สรุปแล้ว “เนื้อหาและรูปลักษณ์” คือส่วนที่ทำให้เว็บไม่ใช่แค่ที่เก็บข้อมูล แต่กลายเป็น ประสบการณ์ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ ได้จริง ๆ และนี่คือเหตุผลที่การปรับปรุงเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสายตาลูกค้าครับ
4. ปรับปรุง UX (User Experience – ประสบการณ์ผู้ใช้)

เว็บไซต์ที่ดีไม่ได้มีแค่ดีไซน์สวยหรือข้อมูลครบ แต่ต้อง ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยครับ ถ้าเว็บโหลดช้า เมนูหายาก หรือดูในมือถือแล้วเละ ลูกค้าส่วนใหญ่จะกดปิดแทบจะทันที และนั่นแปลว่าเราเสียโอกาสไปแบบไม่รู้ตัว
สิ่งที่มักเจอจากลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาเรื่อง UX คือ “มีคนเข้าเว็บเยอะ แต่ยอดขายไม่ขยับ” หรือ “ลูกค้าบ่นว่าเว็บหาข้อมูลไม่เจอ” ซึ่งปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการปรับปรุง UX โดยตรงครับ
ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ: เคยมีแอพธนาคารนึงในประเทศไทยที่คุณแม่ผมเคยใช้ และผม Label ว่ามันเป็น “แอพสำหรับคนรักการอ่าน” เพราะหาอะไรไม่เจอเลย เทียบกับอีกธนาคารนึงที่กดจ่ายเงินเวลายืนต่อแถวซื้อลูกชิ้นได้ไวมากและไม่โดนคนข้างหลังด่าครับ
หลัก ๆ ที่ควรโฟกัสคือ:
- ทำให้ Menu ใช้ง่าย ลูกค้าหาสิ่งที่เขาหาเจอเร็ว และสะดวกสบาย
โครงสร้างเมนูต้องชัดเจน ไม่ซับซ้อน ลูกค้าไม่ควรใช้เวลามากกว่า 2–3 คลิกในการหาสิ่งที่ต้องการ เช่น ถ้าเป็นเว็บ e-commerce ปุ่ม “เพิ่มลงตะกร้า” ต้องอยู่ตรงจุดที่มองเห็นง่าย ไม่ต้องเลื่อนหานานครับ หรือบางทีใส่ปุ่มซื้อเลย ก็จะช่วยลดขั้นตอนไปได้เยอะมากครับ- ผมแนะนำว่าตรงนี้ เจ้าของธุรกิจที่เข้าใจธุรกิจตัวเองจริง ๆ จะรู้ครับว่าพฤติกรรมลูกค้าที่เข้ามาในเว็บเป็นอย่างไร เขาอยากหาอะไร เพราะฉนั้นการวางโครงสร้างเมนูก็จะเป็นไปตามสิ่งที่ลูกค้าจะหาอยู่แล้วครับ
- เคสที่เจอบ่อยมากๆๆๆๆ สำหรับตัวผมเองเวลาเข้าเว็บที่เป็นกิจการที่มีหลายสาขา แล้วผมอยากรู้ว่ามีสาขาไหนบ้าง ยอมรับว่าเว็บไซต์ของหลายแบรนด์ใหญ่ เอาหน้าสาขาไปหลบอยู่ในมุมลึกหรือ Footer ที่คนแทบไม่ดู ตรงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ
- ถ้าปัจจุบันคุณยังไม่เข้าใจลูกค้า หรือไม่มีข้อมูลว่าลูกค้าหาอะไร แนะนำว่าให้ลองเก็บข้อมูลดูนะครับ เวลาปรับปรุงเว็บไซต์จะได้ผลดีเลยครับ
- ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
ปัจจุบันลูกค้าให้เวลาเว็บเราไม่เกิน 3 วินาที ถ้าช้ากว่านั้นก็คือกดปิดไปแล้วครับ (โดยเฉพาะมือถือด้วยครับ) เรื่องนี้เกี่ยวกับการ Optimize รูป ลดโค้ดที่ไม่จำเป็น และเลือก Hosting ที่เหมาะสม ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ลูกค้ายิ่งอยู่ต่อ และ Google ก็ชอบ SEO ดีขึ้นอีกด้วยครับ - ทำให้ใช้งานได้ราบรื่นบนทุกอุปกรณ์ (Responsive Design)
ตอนนี้ส่วนใหญ่คนเข้าเว็บจากมือถือมากกว่า Desktop แล้ว ถ้าเว็บเรายังไม่ได้ Optimize ให้แสดงผลสวย ๆ บนมือถือ ก็จะเสียลูกค้าไปครึ่งหนึ่งทันทีเลยครับ การทำ Responsive จึงไม่ใช่แค่ “ควรทำ” แต่คือ “ต้องทำ” แล้วในยุคนี้ เพราะฉนั้นการทำเว็บไซต์ในยุคนี้ โดยเฉพาะการทำเว็บไซต์ E-commerce ต้องยึด Mobile-First เป็นหลักเลยครับ - เพิ่มฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการผู้ใช้จริง ๆ
เช่น ฟอร์มติดต่อที่ใช้งานง่าย (ไม่ใช่แบบกรอก 20 ช่องจนลูกค้าถอนใจ), ปุ่ม Chat ติดต่อมุมล่างเว็บ, ระบบค้นหาสินค้า, หรือ Filter ที่ช่วยให้ลูกค้าหาได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เว็บเรากลายเป็น “ผู้ช่วย” ของลูกค้า มากกว่าให้ลูกค้าทำความเข้าใจเว็บไซต์เหมือนอ่านวิทยานิพนธ์ครับ
สุดท้าย UX คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ใช้ง่าย ไม่ติดขัด และอยากกลับมาใช้อีก” ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับ Conversion Rate และยอดขายครับ
5. ปรับปรุงการจัดอันดับในผลการค้นหา (SEO)

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ถ้าอยากให้ลูกค้าเจอเราบนโลกออนไลน์ การทำ SEO ถือเป็นสิ่งสำคัญมากครับ เพราะต่อให้เว็บไซต์ดีแค่ไหน ถ้าไม่มีใครหาเจอ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเปิดร้านอยู่ในซอยเปลี่ยว ๆ ที่ไม่มีคนเดินผ่านเลย
หลายครั้งลูกค้าที่มาคุยด้วยมักเจอ Pain Point เดิม ๆ เช่น “เว็บสวยนะ แต่ Google ไม่เจอเลย” หรือ “ทำเว็บแล้วแต่ไม่มี Traffic เข้า” ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ก็คือ ยังไม่ได้ปรับ SEO อย่างจริงจัง นั่นเองครับ
สิ่งที่ควรทำเพื่อให้เว็บติดอันดับและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น คือ:
- ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างเหมาะสม
การใส่คีย์เวิร์ดไม่ใช่การยัดให้เยอะที่สุด แต่คือการเลือกคำที่ลูกค้าค้นหาจริง เช่น คำว่า “รับปรับปรุงเว็บไซต์” หรือ “ทำเว็บไซต์ WordPress” แล้วกระจายไปในหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย Meta description รวมถึง alt text ของรูปภาพครับ - เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความยาวเหมาะสม
Google ชอบเนื้อหาที่ตอบคำถามของผู้ใช้จริง ไม่ใช่เขียนสั้น ๆ แค่ 2–3 ย่อหน้าแล้วจบ การทำ Long-form content (บทความยาวที่มีโครงสร้างดี มีภาพประกอบ) จะช่วยให้ Google มองว่าเว็บเรามี Authority และมีคุณค่าต่อผู้อ่านครับ - ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
ความเร็วเป็นตัวแปรสำคัญของ SEO ถ้าเว็บโหลดช้า Google จะให้คะแนนต่ำทันทีครับ วิธีแก้คือ Optimize ขนาดไฟล์รูป ใช้ Cache อย่างเหมาะสม และเลือก Hosting ที่มีคุณภาพ - สร้างลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอกที่มีคุณภาพ
ลิงก์ภายใน (Internal link) จะช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ดีขึ้น ส่วนลิงก์ภายนอก (Backlink) จากเว็บที่มีความน่าเชื่อถือก็จะช่วยดันอันดับเว็บเราด้วยครับ แต่ต้องทำแบบ Organic และจริงใจ ไม่ใช่ซื้อ Backlink มายัด เพราะ Google จะมองออกครับ
ถึงตรงนี้ผมอาจไม่ได้ Hard sale นะครับ แต่เรื่อง SEO เป็นเรื่องที่เปลี่ยนเร็วมากกกกกกก และในปี 2025 ก็โดน Disrupt โดย Google AI Overview ด้วย ผมเลยมีอีกบทความนึงที่เกี่ยวกับ SEO โดยตรง 👉🏻 SEO คืออะไร วิธีทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google มาให้อ่านกันนะครับ เช่นบทความเขียนด้วย AI ได้ไหม ควรพิจารณาอะไรบ้าง เป็นต้น
เพราะฉนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูแลสุขภาพด้วยนะครับ กฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำเว็บให้มีคุณภาพกันนะครับ ไม่ใช่ไล่สแปมบทความหรือปั่นบทความอันดับเร็ว ๆ อาจโดน Backfire ได้นะครับ
สุดท้าย SEO เป็นงานที่ไม่ได้เห็นผลทันทีเหมือนยิงโฆษณา (โฆษณา Google Ads คืออะไร ลองคลิกอ่านบทความ 👉🏻 การยิง Ads คืออะไร ทำโฆษณา Google สร้างยอดขายง่าย ๆ) แต่ผลลัพธ์ระยะยาวคุ้มค่ามากครับ เพราะถ้าเว็บเราติดอันดับแล้ว ลูกค้าจะเจอเราแบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มทุกเดือนครับ
6. อย่าลืม! ความต่างของธุรกิจ B2B และ B2C ในการปรับปรุงเว็บไซต์

อีกหนึ่งจุดที่หลายธุรกิจมักพลาดเวลา “ปรับปรุงเว็บไซต์” ก็คือการไม่แยกความต่างระหว่าง B2B (Business to Business) และ B2C (Business to Consumer) ครับ จริง ๆ แล้วพฤติกรรมผู้ใช้งานและเส้นทางการตัดสินใจของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างกันมาก หากเอากลยุทธ์ผิดแบบไปใช้กับอีกฝั่ง ผลลัพธ์อาจออกมาตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจเลยครับ
ทำไมผมต้องใส่ส่วนนี้ เพราะอยากให้เตือนใจนิดนึงครับว่าเวลาอยากปรับปรุงเว็บไซต์ หรือทำเว็บไซต์ใหม่ เวลาไปเห็นเว็บโน้นสวย เว็บนี้สวย แต่จะเอามา Apply กับเว็บที่กลุ่มลูกค้าไม่เหมือนกัน พฤติกรรมลูกค้าไม่เหมือนกัน ชนิดลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเปรียบเทียบคือคุณอาจได้รถที่สวยแต่เครื่องยนต์เหยียบคันเร่งไม่ขึ้นก็ได้ครับ
B2C Website (เช่นร้านค้าออนไลน์, e-commerce)
- ลูกค้าตัดสินใจเร็ว
ลูกค้า B2C ส่วนใหญ่ซื้อจาก “ความรู้สึก” และ “ความสะดวก” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงลึก เพราะฉะนั้นเว็บควรออกแบบให้ตรงไปตรงมา คลิกง่าย ไม่ซับซ้อนครับ - เน้น Visual และ Promotion
ภาพสินค้า/บริการที่ชัดเจน สวยงาม รวมถึงการใช้ Banner โปรโมชั่นหรือคูปองส่วนลด จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ทันที - การจ่ายเงินที่ง่ายและปลอดภัย
Checkout process ต้องสั้นและรวดเร็ว รองรับหลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนเงิน QR พร้อมเพย์ ฯลฯ - Trust signals
รีวิวลูกค้าจริง (ถ้ามี แปะตัวใหญ่ๆ เลยครับ) ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อครับ อย่างมากๆ เลยด้วยครับ
B2B Website (เช่นสินค้าหรือบริการที่ต้องผ่านหลายกระบวนการก่อนจัดซื้อได้)
- ลูกค้าตัดสินใจช้า และมีหลาย Decision Makers
ไม่ใช่คนเดียวที่กดสั่งซื้อ แต่เป็นทั้งทีมที่ต้องประเมินและอนุมัติร่วมกันครับ การขายจึงไม่ได้เกิดขึ้นทันทีในหน้าเว็บ แต่เว็บต้อง “เก็บ Lead” และ “Educate” ลูกค้าไปพร้อมกันได้จะดีมากครับ - ต้องเน้นข้อมูลที่ละเอียดและมีน้ำหนัก
เช่น Product spec, Service detail, Use case หรือแม้แต่ Whitepaper เพื่อให้ผู้ตัดสินใจเชื่อมั่นว่าเลือกแล้วจะไม่พลาด - Case Study และ Proof of Work
ลูกค้า B2B ต้องการเห็นว่าเรามีประสบการณ์จริง เคยทำงานกับใครบ้าง และผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร - ช่องทางติดต่อและการ nurturing ผ่าน content
ฟอร์มติดต่อ, Download brochure, Webinar, หรือ Email newsletter เป็นเครื่องมือสำคัญในการเลี้ยงลูกค้าไปสู่การตัดสินใจครับ
สรุปคือเวลาปรับปรุงเว็บไซต์ เราต้องเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจให้ถูกต้องก่อน ว่าลูกค้าเป้าหมายคือ B2B หรือ B2C แล้วออกแบบให้เวิร์คกับกลุ่มนั้น ๆ ไม่งั้นต่อให้เว็บดูสวย แต่ก็ไม่ตอบโจทย์ครับ
คำถามที่พบบ่อย
1. การปรับปรุงเว็บไซต์ใช้เวลานานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อน รวมถึงขอบเขตของงานที่ต้องทำ ถ้าเป็นการแก้ไขบางจุดเล็ก ๆ อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ถ้าเป็นการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งระบบหรือมีฟีเจอร์ซับซ้อน อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือนครับ
2. ควรปรับปรุงเว็บไซต์บ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์ควรถูกปรับปรุงทุก ๆ 2–3 ปี เพื่อให้ยังคงทันสมัยและเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อหาภายในเว็บไซต์ควรถูกอัปเดตบ่อยกว่านั้น เช่น รายสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อรักษาความสดใหม่และความน่าสนใจสำหรับผู้เข้าชมครับ
3. การปรับปรุงเว็บไซต์มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเว็บไซต์แตกต่างกันไปตามขนาดของเว็บไซต์ ความซับซ้อน และทีมงานที่เลือกใช้ หากเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก การปรับปรุงอาจใช้เพียงหลักพันบาทถึงหลักหมื่นต้น ๆ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ขนาดกลางถึงใหญ่ที่ต้องการงานดีไซน์ ฟีเจอร์ หรือการเชื่อมต่อระบบ ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นถึงหลักหมื่นกลาง-หลักแสน หรือมากกว่านั้นครับผม
สรุปว่า… + มุมมองสุดท้ายของผมเอง
การปรับปรุงเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เว็บไซต์ยังคงดูทันสมัย น่าสนใจ และตอบโจทย์ผู้ใช้ในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการปรับดีไซน์ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพด้านความเร็ว จัดการคอนเทนต์ให้สดใหม่ หรือดูแล SEO ให้ติดอันดับ ก็ล้วนมีผลโดยตรงต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจครับ
การลงทุนกับการอัปเดตเป็นระยะ ๆ จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูเป็นมืออาชีพอยู่เสมอ สำหรับใครที่กำลังหาทีมงานมืออาชีพในการรับปรับปรุงเว็บไซต์ หรืออยากได้ผู้ช่วยที่เชี่ยวชาญด้านการรับทำเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น รับทำเว็บไซต์ WordPress, รับทำเว็บไซต์ e-commerce Make2Web ก็มีบริการปรับปรุงเว็บไซต์เช่นกันครับ สามารถคลิกดูรายละเอียดบริการได้เลยครับ
👋จ้างแก้ไขเว็บไซต์ จ้างปรับปรุงเว็บไซต์ ที่ไหนดี คุณมาถูกที่แล้วครับ!