ในปี 2025 นี้ โลกออนไลน์มันไม่เหมือนเดิมแล้วครับ เว็บไซต์ไม่ใช่แค่หน้าตาของบริษัทอีกต่อไป แต่กลายเป็น “สำนักงานใหญ่” ในโลกออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับลูกค้า การตลาด และแม้กระทั่งระบบหลังบ้าน ถ้าเว็บล้าสมัยหรือใช้งานยาก โหลดช้า ผลที่ตามมาคือคุณอาจจะเสียลูกค้าไปให้คู่แข่งทันที

หลายคนมักคิดว่า ปรับปรุงเว็บไซต์ ก็คือทำให้เว็บดูสวยขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นเลยครับ การปรับปรุงเว็บไซต์ที่ดีต้องครอบคลุมทั้ง กลยุทธ์, UX, Content, Performance, Design และ Technology

ผมให้บริการปรับปรุงเว็บไซต์ มาตั้งแต่ปี 2016 แล้วครับ โดยในบทความนี้เป็นสิ่งที่ผมได้เก็บรวบรวมข้อมูลมาจากการปรับปรุงเว็บไซต์มาแล้วหลายร้อยเว็บครับผม
แชร์ขั้นตอนง่ายๆ "แก้ไขปรับปรุงเว็บไซต์" ยังไง ให้โดนใจลูกค้า
Da Chakrapan

ก่อนอื่น… ทำไมต้องปรับปรุงเว็บไซต์

เวลาเราพูดถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ ส่วนใหญ่คนจะคิดถึง “ดีไซน์ใหม่” อย่างเดียว แต่ในมุมของการทำงานจริง ๆ แล้ว เว็บไซต์คือสิ่งที่ต้องมองหลายมิติพร้อมกันครับ

  • มุมดีไซน์: เรื่องความสวย ความทันสมัย การจัดวางเลย์เอาต์ Typography, สี และการใช้ภาพ ต้องทำให้ผู้เข้ามารู้สึกว่า “นี่แหละแบรนด์เดียวกับที่ฉันรู้จัก” ไม่ใช่ว่าของจริงหรูหรา แต่หน้าเว็บเหมือนเว็บราชการครับ (หรือบางเว็บกลับกันก็มีนะครับ แบรนด์หรูมากแต่ทำเว็บเหมือนจ้างถูกๆ ทำ พวกนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์แบรนด์หมดเลยครับ)
  • มุมการทำ SEO และการสร้างการขาย หรืออื่น ๆ: Performance เป็นสิ่งที่สำคัญในยุคนี้คน 70% ใช้มือถือในการเข้าเว็บไซต์ เพราะฉนั้นแล้วความเร็วเว็บไซต์ (Core Web Vitals), การปรับเว็บไซต์ให้ SEO-friendly, การวางโครงสร้างหน้าเพจ รวมถึงการปรับคอนเทนต์ให้ส่งเสริมการขายจริง หรือ วางให้บรรลุจุดประสงค์อื่นๆ อาจเป็นการเก็บ Lead, หรือเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นต้น
  • มุมการเป็นภาพลักษณ์ของธุรกิจ: บริษัทใหญ่ ๆ มักให้ความสำคัญกับดีไซน์มากเป็นพิเศษครับ อย่างที่เห็นกันทั่วไป เช่นธนาคารใหญ่ ๆ กลุ่มบริษัทต่าง ๆ บริษัทที่ชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ เพราะเว็บไม่ได้เป็นแค่ “สำนักงานใหญ่ออนไลน์” แค่ชื่อเท่านั้น แต่มันคือ “สำนักงานใหญ่” จริงๆ ครับ เพราะเว็บไซต์สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ระดับองค์กรตั้งแต่หัวจรดเท้า การดีไซน์ต้องมีการ “รักษาความสม่ำเสมอของแบรนด์ (Branding consistency)” ทั้งสี ฟอนต์ โลโก้ และสไตล์ภาพ เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเป็นแบรนด์เดียวกันทุกช่องทาง ไม่ว่าจะดูโบรชัวร์, โฆษณา, หรือเข้ามาที่เว็บไซต์ครับ โดยธุรกิจที่ขนาดเล็กกว่าสามารถนำตรงนี้มาใช้ได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ ไม่ว่าจะมีช่องทางโฆษณามากหรือน้อย การทำเว็บไซต์ให้สะท้อนภาพลักษณ์ของธุรกิจหรือแบรนด์ที่มี จะเป็นอะไรที่ยกระดับหลาย ๆ อย่างขึ้นมาได้ทันที

ขั้นตอนในการปรับปรุงเว็บไซต์

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ปรับปรุงเว็บไซต์ยังไง
เพราะเว็บไซต์เปรียบเหมือน “สำนักงานใหญ่” จริง ๆ ครับ การปรับปรุงเว็บไซต์จึงควรทำให้คุ้มค่าที่สุด

1. วิเคราะห์และประเมินเว็บไซต์ปัจจุบัน

วิเคราะห์เว็บไซต์

การปรับปรุงเว็บไซต์ก็เช่นเดียวกับการทำเว็บไซต์สักเว็บไซต์นึงครับ เราตั้งจุดประสงค์ก่อน และลองหา Pain point ปัจจุบันจากเว็บปัจจุบันดูครับว่าเว็บมีอะไรที่ควรปรับแก้ เช่น

  1. เว็บไซต์ใช้งานมานานแล้ว ดีไซน์เก่า
  2. UX ไม่ดี ลูกค้าหาไม่เจอ เว็บโหลดช้า
  3. แสดงผลไม่ดีในแท็บเล็ตและมือถือ (ไม่ Responsive)
  4. ไม่สร้างยอดขาย ไม่มี Conversion
  5. อันดับ SEO ไม่ดี
  6. ไม่สะท้อน Branding เว็บดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ

ทีนี้ ลองมาดูว่าลูกค้าของเรา เป็นอย่างไร พฤติกรรมของแต่ละเจ้าเป็นอย่างไร เพราะการปรับปรุงเว็บไซต์ที่ดีต้องเริ่มจาก การเข้าใจผู้ใช้งาน (User Persona) และลูกค้าเป้าหมาย (Buyer Persona) ก่อน

  • User Persona → คนที่ใช้งานเว็บ เช่น ผู้มาหาข้อมูล, ผู้สั่งซื้อสินค้า, หรือแอดมินที่ต้องจัดการหลังบ้าน
  • Buyer Persona → คนที่ตัดสินใจซื้อ เช่น ฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่ายการตลาด, ผู้บริหาร

จากนั้นเราต้อง map journey ว่าแต่ละ persona เจออะไรบ้าง

  • Awareness → เจอเราผ่าน Google, Ads, Social
  • Consideration → อ่านบทความ, ดู Case study, เปรียบเทียบราคา
  • Decision → กรอกฟอร์ม, Add to cart, นัดเดโม่
  • Retention → ดูคู่มือ, Support, Newsletter

เว็บไซต์ที่ดีจะต้อง support ทุก stage ของ journey ไม่ใช่แค่หน้า homepage ที่สวยครับ

2. กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์

แชร์ขั้นตอนง่ายๆ "แก้ไขปรับปรุงเว็บไซต์" ยังไง ให้โดนใจลูกค้า

ทีนี้ หลังจากได้คำตอบจากข้อด้านบนแล้ว ลองมากำหนดดูครับว่าความคาดหวังหลังจากปรับปรุงเว็บไซต์เสร็จแล้วเป็นอย่างไร

แน่นอนครับ “สวยกว่า” เป็นข้อนึงอยู่แล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไปด้านบนของบทความ ปรับให้สวยอย่างเดียวอาจไม่คุ้มค่ากับการลงแรง ลงเงินและเวลาเท่าไหร่ครับ

คุณอาจกำหนดจุดประสงค์เป็นข้อ ๆ ก็ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น

  • ปรับปรุงอันดับ SEO
    • ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ได้ทำ SEO ตั้งแต่แรก หรือโครงสร้างเว็บไม่เหมาะกับ Search Engine หรือไม่มีคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์จริง ๆ หรือการที่เคยทำ SEO แบบไม่ถูกวิธีมาก่อนการปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่จะช่วยแก้ด้วยการวางโครงสร้างเว็บใหม่, ทำ On-page SEO, ใส่คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง และเชื่อมช่องทาง Social/Ads ให้ดึงคนเข้ามามากขึ้นครับ
  • ทำหน้าเว็บลดอัตราการกดปิด (Bounce Rate) หรือเพิ่ม Engagement Rate
    • ต่อให้มีคนเข้ามาเว็บเยอะ แต่ถ้าเจอหน้าเว็บโหลดช้า ดีไซน์รก หรือต้องหาข้อมูลหลายคลิกเกินไป คนก็จะกดปิดเว็บทันทีครับ ดังนั้นการปรับปรุงเว็บไซต์ควรเน้นเรื่อง UX (User Experience) เช่น จัดเลย์เอาท์ให้อ่านง่าย ใส่ Call-to-Action ที่ชัดเจน ทำให้คนอยากอยู่ในเว็บนานขึ้น กดอ่านต่อ หรือคลิกไปที่หน้าสินค้า/บริการอื่น ๆ ซึ่งตรงนี้จะช่วยเพิ่ม Engagement Rate และทำให้ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นครับ
  • แก้ Pain Point ที่ได้ข้อมูลจากลูกค้ามา
    • หลายธุรกิจบ่นว่า “มีคนเข้าเว็บนะ แต่ขายไม่ได้เลย” สาเหตุคือ Funnel บนเว็บไม่สมบูรณ์ เช่น ลูกค้าไม่เข้าใจเว็บm ลูกค้าไม่เข้าใจสินค้าและบริการ, ไม่มีจุดดึง Lead, ระบบ E-commerce ซับซ้อน, หรือแบบฟอร์มติดต่อยาก การปรับปรุงเว็บไซต์โดยเข้าใจลูกค้าจะทำให้ Funnel ชัดขึ้นครับ ลองเริ่มวางโครงเว็บกับเขียนคอนเทนต์ ที่ทำให้ลูกค้าเริ่มไปตาม Funnel ก็ได้ครับ เช่นเริ่มจาก Awareness → Consideration → Purchase ประมาณนี้

3. ปรับปรุงเนื้อหาและรูปลักษณ์

3. ปรับปรุงเนื้อหาและรูปลักษณ์

เวลาลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ สิ่งแรกที่เขาเห็นไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่คือ ภาพรวมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ครับ หลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจทำเว็บเสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้หลายปี ไม่ได้อัพเดตอะไรเลย ผลก็คือเว็บเริ่มดูเชย ข้อมูลไม่ตรงกับปัจจุบัน และลูกค้าอาจรู้สึกว่า เอ๊ะ แบรนด์นี้ยัง Active อยู่หรือเปล่า (อารมณ์เหมือนเราเข้าไปร้านอาหารที่เคยกิน แต่มารอบนี้ดูโทรม ๆ เราก็คงเอะใจครับว่าร้านนี้ยังขายอยู่ไหม หรือที่สำคัญกว่าคือ ร้านนี้ยังอร่อยเหมือนเดิมไหม) ตรงนี้เองที่การปรับปรุงเว็บไซต์จะเข้ามาช่วยได้ครับ

สิ่งที่ควรโฟกัสคือ:

  • เขียนและอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
    เช่น บทความที่ตอบคำถามลูกค้า รีวิวเคสจริง ข่าวสารใหม่ ๆ ของบริษัท หรือโปรโมชั่นล่าสุด การมีคอนเทนต์ที่สดใหม่จะทำให้เว็บดูมีชีวิตชีวา และยังช่วย SEO ด้วยครับ
    • ถ้าเป็นบริษัท ผมจะแนะนำมากๆ เลยครับ ต่อให้ไม่มีบทความอะไรใหม่ๆ หรือไม่มีทีมคอนเทนต์ที่มาเขียนบทความให้ ผมแนะนำจริงๆ มีระบบข่าวสาร ที่อัพเดทว่าบริษัทมีกิจกรรมอะไร ไปทำอะไรที่ไหน ก็เป็นตัวช่วยเสริมตรงนี้ได้เป็นอย่างดีเลยครับ เว็บไซต์จะได้ไม่นิ่ง
    • ที่สำคัญการเขียนอัพเดทบริษัท โดยทั่วไปก็จะไม่ได้อัพเว็บอย่างเดียวครับ แต่ก็จะไปโพสที่ Social Media อื่นๆ ด้วย ก็ถือเป็น Win-Win นะครับ
    • มีหลากหลายเคสที่การเขียนบทความที่เน้นย้ำว่าเขียนแล้วมีประโยชน์ต่อคนอ่านจริง ๆ เป็นตัวเรียกลูกค้าแบบไม่ยิง Ads เลยครับ ชนิดที่บทความที่ปั้มจาก AI มาลงเป็น 10 อันก็สู้ไม่ได้ครับ
  • ใช้ภาพและมัลติมีเดียที่น่าสนใจ
    เว็บยุคนี้ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือยาว ๆ แล้วครับ ลูกค้าคาดหวังว่าจะเห็นภาพที่สวยคมชัด วิดีโอสั้น ๆ หรือแม้แต่ Infographic ที่สื่อสารข้อมูลได้ไวและชัดเจน ซึ่งจะช่วยลด Bounce Rate และทำให้คนอยู่ในเว็บนานขึ้น
  • ออกแบบและจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ใช้งานง่ายและสวยงาม
    การวางโครงสร้างเว็บต้องทำให้ลูกค้าหาข้อมูลที่ต้องการได้ทันที เช่น เมนูที่ชัดเจน ปุ่ม Call-to-Action (เป็นส่วนที่ดีมาก ๆ ครับ ถ้าลูกค้าเกิดอยากสนใจสอบถาม หรือสั่งซื้อกลางคัน) ที่เด่นในตำแหน่งเหมาะสม และการจัดวางที่ไม่ทำให้ตาลาย
  • ใช้สีสันและฟอนต์ที่สอดคล้องกับแบรนด์
    เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้หลายคนมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วการใช้โทนสีและฟอนต์ให้ตรงกับ Corporate Identity ช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพ และทำให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้นครับ สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่เดิมว่า เว็บกับแบรนดิ้งของธุรกิจควรไปในทิศทางเดียวกันครับ
  • ลองโฟกัสเรื่อง EEAT
    • E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness (ประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ, ความน่าเชื่อถือ, ความไว้วางใจ) ซึ่งเป็นแนวทางที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ธุรกิจหรือเว็บไซต์ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งจริงๆ สามารถใช้ Framework นี้ในการเตรียมเนื้อหาหรือเขียน Content ได้เลยนะครับ
      • Experience (ประสบการณ์) – แสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าคุณมีประสบการณ์จริงกับสินค้าหรือบริการ
      • Expertise (ความเชี่ยวชาญ) – เนื้อหาต้องถูกต้อง มีความรู้เฉพาะด้าน เช่น บทความทางการแพทย์, กฎหมาย, เทคนิคต่าง ๆ
      • Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ) – เว็บไซต์ของคุณหรือผู้เขียนมีชื่อเสียงในวงการนั้น ๆ
      • Trustworthiness (ความไว้วางใจ) – มีข้อมูลติดต่อชัดเจน รีวิวจริง มีตัวตนจริง
    • การทำเว็บไซต์ที่ใช้หลัก E-E-A-T ไม่เพียงช่วย SEO แต่ยังสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ ทำให้คนอยากกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าบนเว็บของคุณครับ

สรุปแล้ว “เนื้อหาและรูปลักษณ์” คือส่วนที่ทำให้เว็บไม่ใช่แค่ที่เก็บข้อมูล แต่กลายเป็น ประสบการณ์ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ ได้จริง ๆ และนี่คือเหตุผลที่การปรับปรุงเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสายตาลูกค้าครับ

4. ปรับปรุง UX (User Experience – ประสบการณ์ผู้ใช้)

ตัวอย่างการวาง UX/UI ที่ดี และไม่ดี
ตัวอย่างการวาง UX/UI ที่ดี และไม่ดี

เว็บไซต์ที่ดีไม่ได้มีแค่ดีไซน์สวยหรือข้อมูลครบ แต่ต้อง ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยครับ ถ้าเว็บโหลดช้า เมนูหายาก หรือดูในมือถือแล้วเละ ลูกค้าส่วนใหญ่จะกดปิดแทบจะทันที และนั่นแปลว่าเราเสียโอกาสไปแบบไม่รู้ตัว

สิ่งที่มักเจอจากลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาเรื่อง UX คือ “มีคนเข้าเว็บเยอะ แต่ยอดขายไม่ขยับ” หรือ “ลูกค้าบ่นว่าเว็บหาข้อมูลไม่เจอ” ซึ่งปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการปรับปรุง UX โดยตรงครับ

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ: เคยมีแอพธนาคารนึงในประเทศไทยที่คุณแม่ผมเคยใช้ และผม Label ว่ามันเป็น “แอพสำหรับคนรักการอ่าน” เพราะหาอะไรไม่เจอเลย เทียบกับอีกธนาคารนึงที่กดจ่ายเงินเวลายืนต่อแถวซื้อลูกชิ้นได้ไวมากและไม่โดนคนข้างหลังด่าครับ

หลัก ๆ ที่ควรโฟกัสคือ:

  • ทำให้ Menu ใช้ง่าย ลูกค้าหาสิ่งที่เขาหาเจอเร็ว และสะดวกสบาย
    โครงสร้างเมนูต้องชัดเจน ไม่ซับซ้อน ลูกค้าไม่ควรใช้เวลามากกว่า 2–3 คลิกในการหาสิ่งที่ต้องการ เช่น ถ้าเป็นเว็บ e-commerce ปุ่ม “เพิ่มลงตะกร้า” ต้องอยู่ตรงจุดที่มองเห็นง่าย ไม่ต้องเลื่อนหานานครับ หรือบางทีใส่ปุ่มซื้อเลย ก็จะช่วยลดขั้นตอนไปได้เยอะมากครับ
    • ผมแนะนำว่าตรงนี้ เจ้าของธุรกิจที่เข้าใจธุรกิจตัวเองจริง ๆ จะรู้ครับว่าพฤติกรรมลูกค้าที่เข้ามาในเว็บเป็นอย่างไร เขาอยากหาอะไร เพราะฉนั้นการวางโครงสร้างเมนูก็จะเป็นไปตามสิ่งที่ลูกค้าจะหาอยู่แล้วครับ
    • เคสที่เจอบ่อยมากๆๆๆๆ สำหรับตัวผมเองเวลาเข้าเว็บที่เป็นกิจการที่มีหลายสาขา แล้วผมอยากรู้ว่ามีสาขาไหนบ้าง ยอมรับว่าเว็บไซต์ของหลายแบรนด์ใหญ่ เอาหน้าสาขาไปหลบอยู่ในมุมลึกหรือ Footer ที่คนแทบไม่ดู ตรงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ
    • ถ้าปัจจุบันคุณยังไม่เข้าใจลูกค้า หรือไม่มีข้อมูลว่าลูกค้าหาอะไร แนะนำว่าให้ลองเก็บข้อมูลดูนะครับ เวลาปรับปรุงเว็บไซต์จะได้ผลดีเลยครับ
  • ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
    ปัจจุบันลูกค้าให้เวลาเว็บเราไม่เกิน 3 วินาที ถ้าช้ากว่านั้นก็คือกดปิดไปแล้วครับ (โดยเฉพาะมือถือด้วยครับ) เรื่องนี้เกี่ยวกับการ Optimize รูป ลดโค้ดที่ไม่จำเป็น และเลือก Hosting ที่เหมาะสม ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ลูกค้ายิ่งอยู่ต่อ และ Google ก็ชอบ SEO ดีขึ้นอีกด้วยครับ
  • ทำให้ใช้งานได้ราบรื่นบนทุกอุปกรณ์ (Responsive Design)
    ตอนนี้ส่วนใหญ่คนเข้าเว็บจากมือถือมากกว่า Desktop แล้ว ถ้าเว็บเรายังไม่ได้ Optimize ให้แสดงผลสวย ๆ บนมือถือ ก็จะเสียลูกค้าไปครึ่งหนึ่งทันทีเลยครับ การทำ Responsive จึงไม่ใช่แค่ “ควรทำ” แต่คือ “ต้องทำ” แล้วในยุคนี้ เพราะฉนั้นการทำเว็บไซต์ในยุคนี้ โดยเฉพาะการทำเว็บไซต์ E-commerce ต้องยึด Mobile-First เป็นหลักเลยครับ
  • เพิ่มฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการผู้ใช้จริง ๆ
    เช่น ฟอร์มติดต่อที่ใช้งานง่าย (ไม่ใช่แบบกรอก 20 ช่องจนลูกค้าถอนใจ), ปุ่ม Chat ติดต่อมุมล่างเว็บ, ระบบค้นหาสินค้า, หรือ Filter ที่ช่วยให้ลูกค้าหาได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เว็บเรากลายเป็น “ผู้ช่วย” ของลูกค้า มากกว่าให้ลูกค้าทำความเข้าใจเว็บไซต์เหมือนอ่านวิทยานิพนธ์ครับ

สุดท้าย UX คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ใช้ง่าย ไม่ติดขัด และอยากกลับมาใช้อีก” ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับ Conversion Rate และยอดขายครับ

5. ปรับปรุงการจัดอันดับในผลการค้นหา (SEO)

5. ปรับปรุงการจัดอันดับในผลการค้นหา (SEO)

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ถ้าอยากให้ลูกค้าเจอเราบนโลกออนไลน์ การทำ SEO ถือเป็นสิ่งสำคัญมากครับ เพราะต่อให้เว็บไซต์ดีแค่ไหน ถ้าไม่มีใครหาเจอ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเปิดร้านอยู่ในซอยเปลี่ยว ๆ ที่ไม่มีคนเดินผ่านเลย

หลายครั้งลูกค้าที่มาคุยด้วยมักเจอ Pain Point เดิม ๆ เช่น “เว็บสวยนะ แต่ Google ไม่เจอเลย” หรือ “ทำเว็บแล้วแต่ไม่มี Traffic เข้า” ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ก็คือ ยังไม่ได้ปรับ SEO อย่างจริงจัง นั่นเองครับ

สิ่งที่ควรทำเพื่อให้เว็บติดอันดับและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น คือ:

  • ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างเหมาะสม
    การใส่คีย์เวิร์ดไม่ใช่การยัดให้เยอะที่สุด แต่คือการเลือกคำที่ลูกค้าค้นหาจริง เช่น คำว่า “รับปรับปรุงเว็บไซต์” หรือ “ทำเว็บไซต์ WordPress” แล้วกระจายไปในหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย Meta description รวมถึง alt text ของรูปภาพครับ
  • เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความยาวเหมาะสม
    Google ชอบเนื้อหาที่ตอบคำถามของผู้ใช้จริง ไม่ใช่เขียนสั้น ๆ แค่ 2–3 ย่อหน้าแล้วจบ การทำ Long-form content (บทความยาวที่มีโครงสร้างดี มีภาพประกอบ) จะช่วยให้ Google มองว่าเว็บเรามี Authority และมีคุณค่าต่อผู้อ่านครับ
  • ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
    ความเร็วเป็นตัวแปรสำคัญของ SEO ถ้าเว็บโหลดช้า Google จะให้คะแนนต่ำทันทีครับ วิธีแก้คือ Optimize ขนาดไฟล์รูป ใช้ Cache อย่างเหมาะสม และเลือก Hosting ที่มีคุณภาพ
  • สร้างลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอกที่มีคุณภาพ
    ลิงก์ภายใน (Internal link) จะช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ดีขึ้น ส่วนลิงก์ภายนอก (Backlink) จากเว็บที่มีความน่าเชื่อถือก็จะช่วยดันอันดับเว็บเราด้วยครับ แต่ต้องทำแบบ Organic และจริงใจ ไม่ใช่ซื้อ Backlink มายัด เพราะ Google จะมองออกครับ

ถึงตรงนี้ผมอาจไม่ได้ Hard sale นะครับ แต่เรื่อง SEO เป็นเรื่องที่เปลี่ยนเร็วมากกกกกกก และในปี 2025 ก็โดน Disrupt โดย Google AI Overview ด้วย ผมเลยมีอีกบทความนึงที่เกี่ยวกับ SEO โดยตรง 👉🏻 SEO คืออะไร วิธีทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google มาให้อ่านกันนะครับ เช่นบทความเขียนด้วย AI ได้ไหม ควรพิจารณาอะไรบ้าง เป็นต้น

เพราะฉนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูแลสุขภาพด้วยนะครับ กฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำเว็บให้มีคุณภาพกันนะครับ ไม่ใช่ไล่สแปมบทความหรือปั่นบทความอันดับเร็ว ๆ อาจโดน Backfire ได้นะครับ

สุดท้าย SEO เป็นงานที่ไม่ได้เห็นผลทันทีเหมือนยิงโฆษณา (โฆษณา Google Ads คืออะไร ลองคลิกอ่านบทความ 👉🏻 การยิง Ads คืออะไร ทำโฆษณา Google สร้างยอดขายง่าย ๆ) แต่ผลลัพธ์ระยะยาวคุ้มค่ามากครับ เพราะถ้าเว็บเราติดอันดับแล้ว ลูกค้าจะเจอเราแบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มทุกเดือนครับ

6. อย่าลืม! ความต่างของธุรกิจ B2B และ B2C ในการปรับปรุงเว็บไซต์

B2B & B2C

อีกหนึ่งจุดที่หลายธุรกิจมักพลาดเวลา “ปรับปรุงเว็บไซต์” ก็คือการไม่แยกความต่างระหว่าง B2B (Business to Business) และ B2C (Business to Consumer) ครับ จริง ๆ แล้วพฤติกรรมผู้ใช้งานและเส้นทางการตัดสินใจของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างกันมาก หากเอากลยุทธ์ผิดแบบไปใช้กับอีกฝั่ง ผลลัพธ์อาจออกมาตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจเลยครับ

ทำไมผมต้องใส่ส่วนนี้ เพราะอยากให้เตือนใจนิดนึงครับว่าเวลาอยากปรับปรุงเว็บไซต์ หรือทำเว็บไซต์ใหม่ เวลาไปเห็นเว็บโน้นสวย เว็บนี้สวย แต่จะเอามา Apply กับเว็บที่กลุ่มลูกค้าไม่เหมือนกัน พฤติกรรมลูกค้าไม่เหมือนกัน ชนิดลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเปรียบเทียบคือคุณอาจได้รถที่สวยแต่เครื่องยนต์เหยียบคันเร่งไม่ขึ้นก็ได้ครับ

B2C Website (เช่นร้านค้าออนไลน์, e-commerce)

  • ลูกค้าตัดสินใจเร็ว
    ลูกค้า B2C ส่วนใหญ่ซื้อจาก “ความรู้สึก” และ “ความสะดวก” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงลึก เพราะฉะนั้นเว็บควรออกแบบให้ตรงไปตรงมา คลิกง่าย ไม่ซับซ้อนครับ
  • เน้น Visual และ Promotion
    ภาพสินค้า/บริการที่ชัดเจน สวยงาม รวมถึงการใช้ Banner โปรโมชั่นหรือคูปองส่วนลด จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ทันที
  • การจ่ายเงินที่ง่ายและปลอดภัย
    Checkout process ต้องสั้นและรวดเร็ว รองรับหลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนเงิน QR พร้อมเพย์ ฯลฯ
  • Trust signals
    รีวิวลูกค้าจริง (ถ้ามี แปะตัวใหญ่ๆ เลยครับ) ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อครับ อย่างมากๆ เลยด้วยครับ

B2B Website (เช่นสินค้าหรือบริการที่ต้องผ่านหลายกระบวนการก่อนจัดซื้อได้)

  • ลูกค้าตัดสินใจช้า และมีหลาย Decision Makers
    ไม่ใช่คนเดียวที่กดสั่งซื้อ แต่เป็นทั้งทีมที่ต้องประเมินและอนุมัติร่วมกันครับ การขายจึงไม่ได้เกิดขึ้นทันทีในหน้าเว็บ แต่เว็บต้อง “เก็บ Lead” และ “Educate” ลูกค้าไปพร้อมกันได้จะดีมากครับ
  • ต้องเน้นข้อมูลที่ละเอียดและมีน้ำหนัก
    เช่น Product spec, Service detail, Use case หรือแม้แต่ Whitepaper เพื่อให้ผู้ตัดสินใจเชื่อมั่นว่าเลือกแล้วจะไม่พลาด
  • Case Study และ Proof of Work
    ลูกค้า B2B ต้องการเห็นว่าเรามีประสบการณ์จริง เคยทำงานกับใครบ้าง และผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร
  • ช่องทางติดต่อและการ nurturing ผ่าน content
    ฟอร์มติดต่อ, Download brochure, Webinar, หรือ Email newsletter เป็นเครื่องมือสำคัญในการเลี้ยงลูกค้าไปสู่การตัดสินใจครับ

สรุปคือเวลาปรับปรุงเว็บไซต์ เราต้องเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจให้ถูกต้องก่อน ว่าลูกค้าเป้าหมายคือ B2B หรือ B2C แล้วออกแบบให้เวิร์คกับกลุ่มนั้น ๆ ไม่งั้นต่อให้เว็บดูสวย แต่ก็ไม่ตอบโจทย์ครับ

คำถามที่พบบ่อย

1. การปรับปรุงเว็บไซต์ใช้เวลานานแค่ไหน?

ระยะเวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อน รวมถึงขอบเขตของงานที่ต้องทำ ถ้าเป็นการแก้ไขบางจุดเล็ก ๆ อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ถ้าเป็นการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งระบบหรือมีฟีเจอร์ซับซ้อน อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือนครับ

2. ควรปรับปรุงเว็บไซต์บ่อยแค่ไหน?

โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์ควรถูกปรับปรุงทุก ๆ 2–3 ปี เพื่อให้ยังคงทันสมัยและเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อหาภายในเว็บไซต์ควรถูกอัปเดตบ่อยกว่านั้น เช่น รายสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อรักษาความสดใหม่และความน่าสนใจสำหรับผู้เข้าชมครับ

3. การปรับปรุงเว็บไซต์มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?

ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเว็บไซต์แตกต่างกันไปตามขนาดของเว็บไซต์ ความซับซ้อน และทีมงานที่เลือกใช้ หากเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก การปรับปรุงอาจใช้เพียงหลักพันบาทถึงหลักหมื่นต้น ๆ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ขนาดกลางถึงใหญ่ที่ต้องการงานดีไซน์ ฟีเจอร์ หรือการเชื่อมต่อระบบ ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นถึงหลักหมื่นกลาง-หลักแสน หรือมากกว่านั้นครับผม

สรุปว่า… + มุมมองสุดท้ายของผมเอง

การปรับปรุงเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เว็บไซต์ยังคงดูทันสมัย น่าสนใจ และตอบโจทย์ผู้ใช้ในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการปรับดีไซน์ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพด้านความเร็ว จัดการคอนเทนต์ให้สดใหม่ หรือดูแล SEO ให้ติดอันดับ ก็ล้วนมีผลโดยตรงต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจครับ

การลงทุนกับการอัปเดตเป็นระยะ ๆ จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูเป็นมืออาชีพอยู่เสมอ สำหรับใครที่กำลังหาทีมงานมืออาชีพในการรับปรับปรุงเว็บไซต์ หรืออยากได้ผู้ช่วยที่เชี่ยวชาญด้านการรับทำเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น รับทำเว็บไซต์ WordPress, รับทำเว็บไซต์ e-commerce Make2Web ก็มีบริการปรับปรุงเว็บไซต์เช่นกันครับ สามารถคลิกดูรายละเอียดบริการได้เลยครับ

👋จ้างแก้ไขเว็บไซต์ จ้างปรับปรุงเว็บไซต์ ที่ไหนดี คุณมาถูกที่แล้วครับ!

รับปรับปรุงเว็บไซต์ แก้ไขเว็บไซต์ โดยมืออาชีพ

รับปรับปรุงเว็บไซต์ แก้ปัญหาเว็บไซต์ แก้ไขเว็บไซต์ ทั้งแก้ไขเล็กน้อย ตกแต่งเว็บที่มีอยู่แล้วด้วยเนื้อหาเดิม ออกแบบเว็บไซต์ใหม่ เพื่อให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบโจทย์มากขึ้น