Landing Page คือหน้าเว็บที่สร้างขึ้นมาเฉพาะเพื่อทำการตลาด หรือโฆษณา โดยใช้เพื่อให้ผู้ชมเข้าเว็บ หรือ “Landing” ในหน้าเว็บหลังจากคลิกจาก Google, Youtube หรือจาก Email ต่าง ๆ นั่นเอง โดย Landing page มักจะถูกออกแบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง หลัก ๆ เช่นการเก็บ Lead หรือสร้าง Conversion นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้การออกแบบเว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่สุด การทำ Landing Page จึงต้องมีการปรับแต่งหรือ Optimization ให้มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อกระตุ้นการสร้างยอด Conversion ให้ได้มากที่สุดครับ โดยบทความนี้มีบางส่วนที่อ้างอิงมาจากคอร์สของ Isaac Rudansky ชื่อว่า “Landing Page Design & Conversion Rate Optimization” ซึ่งเป็นคอร์สที่ดีและมีรายละเอียดดีที่สุดคอร์สหนึ่งเลยครับ
1. ความชัดเจน (Clarity) คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ผู้ชมเว็บไซต์จะต้องเข้าใจว่าหน้าเว็บที่กำลังเปิดอยู่ต้องการสื่อถึงอะไร โดยไม่ต้องตีความ
กล่าวคือ ในการออกแบบเว็บไซต์หน้านั้น ๆ จะต้องมีความชัดเจนว่าหน้านั้นคือหน้าสำหรับแสดงอะไร มีเนื้อหาอย่างไร และจุดประสงค์ของหน้านั้น ๆ คืออะไร หากไม่ชัดเจนในจุดนี้จะทำให้ผู้ชมงง สงสัยและปิดหน้าเว็บได้ครับ และทำให้เกิด Bounce Rate (อัตราการตีกลับหรือปิดหน้าเว็บทิ้ง) ขึ้นนั่นเอง
2. ใน 5 วินาที คนอ่านต้องเก็ตทันที
การทำ Landing Page ควรเน้นให้ผู้ชมเก็ตว่าหน้าที่คุณกำลังทำสื่อถึงอะไรภายใน 5 วินาทีเท่านั้น
โดยจุดนี้ ให้เปรียบเทียบเหมือนกับคุณที่เพิ่งเจอคนแปลกหน้าครับ คุณคงไม่ชอบที่ให้เขาสาธยายเรื่องที่คุณไม่อยากรู้ให้ฟังเป็นย่อหน้าถูกไหมครับ
เปลี่ยนใหม่ หากเขาเล่าเรื่อง สินค้าหรือบริการของเขาคืออะไร มีค่าอย่างไร ให้สั้น ๆ ใช้เวลา 5 วินาทีเข้าใจ ก็จะดีกว่าเยอะถูกไหมครับ
วิธีนี้อาจทดสอบง่าย ๆ โดยเมื่อทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว นำหน้าเว็บไปเปิดคู่กับเพื่อนหรือคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเว็บ (สัก 5-10 คนกำลังดี) และหลังจากจับเวลา 5 วินาทีแล้ว ลองถามเขาว่าเขาเข้าใจว่าอย่างไรบ้าง ถ้าตรงกับเราก็ถือว่าโอเคระดับนึงครับ หรือหากคลาดเคลื่อนอย่างไร นั่นคือ Feedback ชั้นดีเลยครับ
3. ปรับการออกแบบเว็บไซต์ให้ “ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป” (Calm & Still Design)
จุดนึงที่มักจะเห็นกันบ่อยใน Landing Page หรือ Sale page ก็คือ การใช้การออกแบบเว็บไซต์ที่มีปุ่มหรือกราฟฟิคที่เล่นการใหญ่ไฟกระพริบมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Line กระพริบ หรือ Banner ที่มี animation เร็ว ๆ เต็มหน้าเว็บซึ่งตรงนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีสักทีเดียวครับ
“Landing Page ไม่ใช่งานวัดนะครับ ไฟกระพริบทุกจุดไม่ได้ทำให้คนสนใจหน้าเว็บของคุณ”
การมีจุดที่เป็นจุดดึงความสนใจโดยทำส่วนที่มี animation ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่หากมีเยอะไปจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนความสนใจได้ครับ คนก็จะงงว่าถ้าสนใจ ต้องไปคลิกตรงไหนดี
เพราะฉนั้น การใช้รูปหรือแบนเนอร์ที่มี Animation ควรเน้นในส่วนที่ต้องเน้นเป็นสำคัญเท่านั้น เช่นส่วนที่เรียกให้ผู้ชมคลิก หรือกระทำบางอย่าง (Call to Action) หรือง่าย ๆ อาจเน้นเฉพาะปุ่มโทร ปุ่มแอดไลน์ เท่านั้นพอครับ ให้รู้ว่าปุ่มอยู่ตรงนี้นะ คลิกเลย
ที่สำคัญก็คืออย่า Spam เนื้อหาจนรู้สึกว่า “เยอะ” เพราะในการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี การจัดเรียงเนื้อหาเป็นส่วนที่สำคัญครับ ควรเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระเบียบ อ่านง่าย ไม่ควร “ยัดเยียด” เนื้อหาลงไปให้ดูเยอะและอ่านยาก (โดยเฉพาะในมือถือ)
ผมแนะนำให้ทำ Landing page โดยใช้หลักการเดียวกับการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีครับนั่นก็คือ “Clean, Simple Design” หรือทำเว็บให้สะอาด เข้าใจง่าย ๆ และเมื่อประยุกต์ใช้หลักการข้ออื่น ๆ ในบทความนี้ไปด้วย Landing page ของคุณก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
4. 1 หน้า = 1 Goal
ใน 1 หน้า Landing Page ควรมี Primary Conversion Goal หรือจุดประสงค์หลักสำหรับการเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้า 1 ข้อครับ
Landing Page ไม่ควรเป็นร้านสะดวกซื้อครับ เคยไหมครับเดินเข้า 7-Eleven แต่ไม่รู้จะกินอะไรแล้วเดินออก เพราะฉนั้นการทำ Landing page 1 หน้าก็ควรมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนครับ ว่าอยากให้ผู้ชมได้อะไร และทำอะไร
ยกตัวอย่างเช่น ผมมีเว็บไซต์สมัครคอร์สเรียน จ้างเป็นวิทยากร และจำหน่าย E-Book โดยผมกำลังทำหน้า Landing Page สำหรับให้ลูกค้าติดต่อผ่านฟอร์มหรือ ติดต่อผ่าน Line เพื่อสมัครคอร์สเรียน ผมก็ควรออกแบบเว็บไซต์ให้มีส่วน Call to Action ที่ให้ลูกค้าติดต่อเพื่อสมัครคอร์สเรียนเป็นหลักครับ โดยในส่วนของเนื้อหา และปุ่มต่าง ๆ ก็จะเน้นเป็นการติดต่อเพื่อสมัครลงทะเบียนคอร์ส
แต่ในเว็บผมก็มีบริการอื่นด้วย เช่น จ้างเป็นวิทยากร หรือมี E-Book พ่วงเข้าไป ผมก็ต้องลองพิจารณาดูครับว่าใส่ไว้ตรงไหนได้บ้าง ที่ไม่กระทบกับ Journey ที่ให้ลูกค้ามาสมัครคอร์สเรียน โดยในเคสนี้ผมอาจแก้ปัญหาโดยการใส่ปุ่มดูรายละเอียดการจ้างเป็นวิทยากรไว้แบบไม่ให้มีความสำคัญเท่ากับสมัครคอร์สเรียนครับ เพราะจุดประสงค์หลักคือให้ผู้ชมใช้หน้านี้เป็นฐานในการพิจารณาสมัครคอร์สเรียนครับ
5. อย่า Technical เกินไป
หากต้องการรายละเอียดที่เป็นเทคนิค ให้ผู้ชมคลิกอ่านเพิ่มเติมเอา เช่น คุณต้องการทำหน้าเว็บไซต์ให้นำเสนอข้อมูลห้องประชุม ที่มีขนาด 100 ตรม., 200 ตรม. และ 300 ตรม.
ในเคสนี้ หากกลุ่มเป้าหมายของผมคือผู้จัดกิจกรรมทั่วไป เช่น จัดเลี้ยงรุ่น จัดงานแต่ง แทนที่จะนำขนาดห้องพวกนี้เป็นหัวข้อ เปลี่ยนเป็น รองรับ 50 คน รองรับ 150 คน หรือ รองรับ 200 คน แบบนี้คนทั่วไปอาจเข้าใจง่ายกว่าครับ
และส่วนขนาดห้องให้นำไปแสดง Subtitle หรือส่วนที่เป็น Technical data สำหรับคนที่ต้องการทราบผังห้องเพื่อลงมือทำ อาจดีกว่า
หรืออาจเขียนว่า เหมาะกับจัดงานแต่ง แขก 200 คน หรือจัดโต๊ะจีน 100 โต๊ะ แบบนี้ก็จะเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีกครับว่าทำอะไรได้บ้าง
6. ออกแบบเว็บไซต์ให้ไม่ “เละ”
การจัดสัดส่วนเนื้อหา การเล่าเรื่อง (Storytelling) การใช้รูปภาพและการเขียนเนื้อหาเป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ครับ การเขียนหัวข้อให้ชัดเจน เลือกภาพให้สอดคล้องกันและทรงพลัง เมนูใช้งานง่าย และการเรียงเส้นนำสายตาให้ผู้ชมเข้ามากดส่วน Call to Action เป็นสิ่งที่ต้องเน้นอย่างมากในการออกแบบเว็บไซต์ครับ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด
7. Awareness – Interest – Desire – Trust – Action
4 ข้อนี้คือพฤติกรรมของลูกค้าที่เขามาดู Landing Page โดยผมสรุปง่าย ๆ จากคอร์สของคุณ Isaac Rudansky ดังนี้
Awareness – เริ่มจากตรงนี้เลย
- คนที่เข้าเว็บใหม่ = ไม่มั่นใจ เขามองหา ความชัดเจน ความน่าเชื่อถือ และ Value หรือค่าที่ให้เขาได้
- ถ้าคุณไม่สามารถสื่อข้อด้านบนได้ = ไม่มีความสนใจ
- ถ้ามีอะไรที่ให้ฟรีได้ ก็จะเป็น Free Value ที่ดี เช่น แจกบางคอร์สเรียนฟรี Resource Free หรือแพลนเที่ยวฟรี เพื่อเรียกความสนใจและสร้าง Engagement เบื้องต้นได้
Interest – สนใจแล้ว อยากรู้เพิ่มเติม!
- ส่วนใหญ่ผู้ชมจะตัดสินใจเอง ว่าเขาสนใจหรือไม่สนใจครับ
- หากมีส่วนที่ผู้ชมสามารถ Relate ได้ ว่าสิ่งที่เขาเป็นหรือสิ่งที่เขาขาด หรือสิ่งที่คุณสามารถแก้หรือตอบโจทย์ได้ ใส่เลยครับ
- ยกตัวอย่างเช่น ในหน้าเว็บ คุณต้องการขายคอร์สเรียนให้กับกลุ่มที่เป็น นักเรียน พนักงาน ผู้บริหาร ก็อาจสร้าง section ที่สามารถอธิบายได้ว่า ตอบโจทย์นักเรียนอย่างไร ตอบโจทย์พนักงานอย่างไร ตอบโจทย์ผู้บริหารอย่างไรบ้างก็ได้เช่นกัน และหากคลิกเข้าไปมีรายละเอียดเฉพาะ และแนะนำคอร์สเรียนสำหรับกลุ่มเป้าหมายพวกนั้นได้ ยิ่งดีใหญ่เลย
Desire – อยากได้แล้ว
- ถ้าผู้ชมมีความรู้สึกว่าอยากได้แล้ว = จะใช้เวลาในการอ่านเนื้อหามากขึ้น จากการสแกนอ่านผ่าน ๆ จะเริ่มเป็นการอ่านอย่างละเอียด
- เนื้อหาควรมีส่วนที่เป็นส่วนรายละเอียดมากขึ้น เพื่อประกอบการตัดสินใจ
Trust – ความไว้ใจ รีวิวและความน่าเชื่อถือ
- เขาต้องการมองหา Social Proof หรือรีวิวจากผู้ใช้งานหรือผู้ใช้บริการจริงว่าเป็นอย่างไร
- ส่วนที่ทำให้การสร้าง conversion ไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่น่าเชื่อถือของสินค้าและบริการ หรือบริษัทที่อยู่เบื้องหลังนั้น ๆ
- การสร้าง Section review ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่ง และหากมี review จากภายนอก เช่น สื่อ เพจหรือคนดังได้ จะยิ่งสร้างเครดิตในส่วนนี้ให้ดียิ่งขึ้น
Action = ขายเลย
- ส่วนใหญ่แล้วถ้าข้อด้านบนตอบโจทย์ผู้ชมทั้งหมด ก็อาจมีโอกาสปิดการขายได้ครับ อาจนอกแพล็ตฟอร์มหรือจ่ายเงินในเว็บเลย อันนี้ก็แล้วแต่การวางโครง
- แต่ก็เป็นธรรมดาเช่นกันที่ทำทุกอย่างถูกแต่ปิดการขายไม่ได้ อย่าลืมนะครับว่าการปิดการขายสินค้าและบริการหลาย ๆ ประเภทไม่ได้มาจากเหตุผล อาจมาจากอารมณ์ หรืออาจเหตุผลอื่น ๆ เช่นสู้ราคาไม่ไหว เปลี่ยนใจ เป็นต้น เป็นเรื่องธรรมดาครับ
- เพราะฉนั้นในการออกแบบเว็บไซต์ ส่วนที่ปิดการขาย หรือสร้าง conversion หรืออะไรก็แล้วแต่ ควรจะ clear และ straightforward ให้มากที่สุด ไม่ควรใส่องค์ประกอบอะไรให้เว่นเว้อ
มีหน้าเว็บอยู่แล้ว อยากปรับปรุงเว็บไซต์?
และหากคุณมี Landing Page อยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าเมื่อไหร่ดีที่ควรปรับปรุงเว็บไซต์ ลองอ่านบทความนี้ได้ครับ: เมื่อไหร่ดี ที่ควร “ปรับปรุงเว็บไซต์”
คอร์สที่แนะนำ
ในบทความนี้มีหลายส่วน โดยเฉพาะหัวข้อ “Awareness – Interest – Desire – Trust – Action” ที่ผมสรุปเนื้อหาบางส่วนมาจากคอร์ส “Landing Page Design & Conversion Rate Optimization” โดยคุณ Isaac Rudansky ใน Udemy ครับ เป็นคอร์ส 9 ชั่วโมงที่ผมแนะนำได้เลยว่าคุ้มครับ สามารถเข้าดูได้เลยครับ
สุดท้ายนี้ การออกแบบ Landing Page ที่มีจุดโฟกัสที่ดี มีการเขียนเนื้อหาที่ดี มีการใช้องค์ประกอบภาพ ดีไซน์ที่ดี เพื่อแสดงสินค้าและบริการที่น่าสนใจ จะทำให้หน้า Landing page นั้น ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยสร้าง Conversion ให้คุณได้มากขึ้นได้ครับ