SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึงการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้มีโอกาสติดอันดับการค้นหาสูงขึ้นบนเว็บเสิร์ชเอนจิน เช่น Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ การทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งจะเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ นำไปสู่การเข้าชมเว็บไซต์และการสร้างรายได้ที่มากขึ้น

ในยุคนี้ หลังจากทำเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว หลายคนมักจะตั้งคำถามว่า “ทำ SEO ดีไหม” “ทำ SEO ยังไง” “ทำเว็บให้ติดหน้าแรก Google” และเมื่อลองค้นหาวิธีผ่านหลาย ๆ เจ้าที่เขียนบทความลงใน Google แล้วพบว่าไม่เหมือนกันเลย เพราะเหตุนี้ควรเชื่ออย่างไรดี

SEO คืออะไร วิธีทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google (อัพเดท 2025)

โดยในบทความนี้ผมมีบางส่วนที่สรุปถอดมาจาก งาน 🔍 SEO ที่จริงใจ: งานที่เราส่งมอบคืออะไรกันแน่? จัดโดย WordPress Bangkok Meetup โดยบรรยายโดยคุณตังเม – เจ้าของเพจ SEO โบ๊ะบ๊ะสไตล์ by Chalakorn Berg ที่ผมเข้าร่วมมาครับ โดยผมในฐานะคนทำเว็บไซต์ที่ทำ SEO เช่นเดียวกัน เลยเรียบเรียง และสรุปวิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ทำยังไงให้หาเว็บเราเจอ และทำ SEO อย่างไรให้ยั่งยืนในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในการค้นหามากขึ้นมาแชร์ให้ฟังให้และเสริมจากประสบการณ์ของผม โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

เข้าใจก่อนว่า Google ทำงานอย่างไร

การทำ SEO จะมีศัพท์ที่เรียกว่า SERP หรือ Search Engine Results Page คือหน้าผลการค้นหาที่เราเห็นตอนค้นหาใน Google นั่นเอง ซึ่งจะมีหลายส่วนประกอบด้วยกัน ได้แก่ ผลการค้นหาปกติ (เว็บไซต์ที่ไม่จ่ายเงินโฆษณา) โฆษณา Google Ads (มีคำว่า “Sponsored” “Ads” หรือ “โฆษณา” กำกับ) กล่องคำตอบโดยตรงที่อยู่ด้านบนสุด แผนที่และร้านค้าใกล้เคียง (เมื่อค้นหาสถานที่) รูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องที่คนอื่นมักค้นหา การเข้าใจ SERP จะช่วยให้เรารู้ว่าต้องปรับปรุงเว็บไซต์ หรือแก้ไขเว็บไซต์และเนื้อหายังไงเพื่อให้ติดหน้าแรกและดึงดูดคนเข้าเว็บเราได้มากขึ้น

ผลการค้นหาที่เกิดจากการทำ SEO ก็จะอยู่ใต้ โฆษณา Google Ads ครับ เพราะพวก Ads ทั้งหลายคือส่วนที่ Google ขายโฆษณาในคีย์เวิร์ดนั้น ๆ (อ่านบทความ: การยิง Ads คืออะไร ทำโฆษณา Google สร้างยอดขายง่าย ๆ)

ส่วนที่เราจะไปไฝ้วกับคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ ก็คือส่วนที่อยู่ด้านล่างจากตรงนั้นครับ หรือที่เราเรียกว่า Organic SEO โดยที่เราไม่ได้จ่ายเงิน Google แม้แต่บาทเดียว แต่เราจ่ายด้วยข้อมูลของเราแทน

ตัวอย่างการทำอันดับ SEO แบบ Organic สังเกตว่าจะอยู่ใต้โฆษณา
ตัวอย่างการทำอันดับ SEO แบบ Organic สังเกตว่าจะอยู่ใต้โฆษณา

ตรงนี้แหละครับที่จะเป็นส่วนที่ศึกการทำอันดับ Google หรือเรียกว่าทำ SEO เกิดขึ้นนั่นเองครับ เพราะ Google ไม่ได้เรียงเนื้อหาตามตัวอักษรหรือความเก่า แต่เรียงตามสิ่งที่อัลกอริทึมของ Google เองประมวลผลออกมาครับ โดยก็มีหลายปัจจัยมาก ๆ เลย

เริ่มทำ SEO ต้องเข้าใจคนดู และ Google ก่อน

Google ต้องการให้ผู้ชมเข้าเว็บมา และได้คำตอบสุดท้ายเลย

ทำไม Search Engine เจ้าอื่นถึงสู้ Google ไม่ได้ เพราะ Google มีท่าไม้ตายตรงนี้ครับ Google เน้น Final Answer หรือคำตอบสุดท้ายมากที่สุด

คำตอบสุดท้ายคืออะไร?

สมมุติว่าคุณมีคำถามว่า… Tromsø อยู่ประเทศอะไร

Tromsø อยู่ประเทศอะไร?
Tromsø อยู่ประเทศอะไร?

เขียนบทความ หรือทำเว็บไซต์ตามที่คนทั่วไปชอบพูดว่าต้องมีขั้นต่ำ 1,000 คำ หรือ 3,000 คำเพื่ออธิบายว่าอยู่ประเทศอะไรก็ไม่มีค่าอะไรครับ แต่ในเคสนี้เว็บที่ได้เครดิตไปมากคือเว็บที่เขียนตอบให้ตรงประเด็น และ ให้คำตอบสุดท้าย กับผู้ชมได้เท่านั้น หรืออธิบายอีกอย่างก็คือ หากหน้าเว็บไซต์มีคำตอบให้กับผู้ชมที่พิมพ์ค้นหาจาก Google มาเรียบร้อยแล้วโดยไม่ไปหน้าไหนอีก = มีโอกาสที่ Google จะทำอันดับหน้านั้นได้ดีครับ (แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งเว็บมีคำตอบอยู่คำเดียวในหน้า แล้วที่เหลือโล่งไม่มีอะไรนะครับ) หน้านั้นต้องมีค่า ให้กับผู้ชม

แต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้อันดับดีนะครับ เพราะการที่ทำเว็บให้ติดอันดับดี ๆ ต้องประกอบกับปัจจัยอย่างอื่นด้วย ทั้งภายใน เช่น SEO Onpage (การปรับหน้าเว็บให้เข้ากับมาตรฐาน Google) กับ Offpage (เช่นการทำ Backlink) เพื่อให้เว็บดูดี มีเครดิต และน่าเชื่อถือในสายตาของ Google ครับ

เพราะมีแบบนี้ครับผลการค้นหาของ Google ถึงออกมาดีกว่าคู่แข่ง เพราะฉนั้นคำถามนี้ผมตอบให้ครับ อยู่นอร์เวย์ครับ

คีย์เวิร์ด (Keyword) คืออะไร

Keyword หรือคำหลัก คือคำหรือวลีที่คนพิมพ์ลงไปในช่องค้นหาของ Google เมื่อต้องการหาข้อมูลอะไรบางอย่างครับ

เช่น ถ้าเราอยากรู้วิธีทำผัดไทย เราจะพิมพ์ "วิธีทำผัดไทย" คำนี้ก็คือ keyword หรือถ้าเราหาร้านอาหารใกล้บ้าน เราจะค้นหา "ร้านอาหารใกล้ฉัน"

สำหรับคนทำเว็บไซต์ การรู้ว่าคนค้นหาคำอะไรบ้างจะช่วยให้เราเขียนเนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่คนกำลังมองหา แล้วเว็บเราก็จะมีโอกาสขึ้นหน้าแรก Google มากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าเราขายกระเป๋า เราควรใช้ keyword อย่าง "กระเป๋าแฟชั่น" "กระเป๋าสะพาย" หรือ "กระเป๋าราคาถูก" ในเนื้อหาครับ

นอกจากนี้ยังมี Long Tail Keyword ซึ่งเป็นคำค้นหาที่ยาวและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น "กระเป๋าสะพายหนังแท้สีดำราคาไม่เกิน 3000 บาท" แม้จะมีคนค้นหาน้อยกว่า แต่คนที่ค้นหาแบบนี้มักจะอยากซื้อของจริง ๆ ทำให้แข่งขันน้อยกว่าและโอกาสติดหน้าแรกสูงกว่า

ทำ SEO ให้ดี ต้องเริ่มอย่างไร?

SEO คืออะไร

1. โครงสร้างดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

  • ทำเว็บไซต์ หรือออกแบบเว็บไซต์ใด ๆ เหมือนสร้างตึกหรือสร้างอาคารครับ สิ่งที่สร้างเสร็จแล้วแก้ยากหรือแทบไม่ได้ที่สุดเลยคือโครงสร้างเว็บไซต์ครับ มันสามารถทำเว็บให้เกิดหรือดับได้เลยหากไม่คำนึงถึง SEO ครับ
  • ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้เทคโนโลยี การวางโครงสร้างหน้าเพจ (Sitemap) การคิดเนื้อหา การวาง UI/UX ล้วนแล้วแต่สำคัญครับ

2. การวางโครงสร้างเว็บไซต์ (Sitemap)

  • ทำเว็บไซต์ก็เหมือนวาดแพลนบ้านครับ มีพื้นที่เท่านี้ เราจะจัดสรรปันส่วนอย่างไร เช่น มีสินค้าอยู่ 5 อัน เราแยกหน้ากันไปเลยก็ยิ่งดีเลยครับ จะได้ 5 หน้าสินค้า เวลาทำ SEO จะได้ทำง่าย
  • แต่ถ้าอะไรที่อยู่หน้าเดียวกันได้ ก็ปรับให้อยู่หน้าเดียวกันไปเลยครับ แล้วสุดท้ายค่อยนำทั้งหมดมา Structure หน้าแรก (วิธีนี้ผมก็ใช้เช่นกันครับ) เพราะหน้าแรกจะเป็นหน้าที่ส่วนใหญ่จะออกแบบให้ผู้ชมมองภาพรวมเว็บได้ทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง
  • แต่ละหน้าเว็บควรทำให้เป็น Landing Page ไปเลยครับ ให้หน้านั้นมีประโยชน์ด้วยทั้งสำหรับการเก็บ Lead, ปิดการขาย และ Google ครับ

3. คิดย้อนกลับไปว่าลูกค้าต้องการอะไร เพื่อมาทำเนื้อหา

  • ตรงไหนมีปัญหา ตรงนั้นมีเงิน (หน้าเฮียคณินลอยมาเลยครับ)
  • ตัด Joke ออกไป นี่แหละครับที่ที่เราจะเริ่มสร้างเนื้อหากันสำหรับทำเว็บไซต์ หากคิดไม่ออกก็คือเริ่มจากการชี้ปัญหาที่มี และ Offer Solution หรือทางแก้ปัญหาให้ในคอนเทนต์ครับ
  • หากทำเว็บไซต์ E-Commerce หรือทำเว็บไซต์ขายของ ลองเขียนเนื้อหาหรือทำหน้าเว็บที่คำนึงเสมอว่า หากคนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าตัวนี้เลยต้องการเข้ามาซื้อ เขาต้องรู้อะไรบ้าง
    • เหมือนเวลามีลูกค้าเดินเข้ามาร้านในห้าง แล้วลูกค้าไม่มีความรู้ในสินค้าที่อยู่ตรงหน้าเลย เราในฐานะพนักงานขายจะอธิบายอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจ เริ่มเกิดความสนใจ หรือแม้แต่ปิดการขายครับ

4. ทำ On-Page SEO ให้ดี

ปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ ภายในหน้าเว็บให้เหมาะสมกับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย เช่น:

  • ใช้คีย์เวิร์ดในหัวข้อ (Title Tag) และคำอธิบาย (Meta Description)
  • อันไหนเป็นหัวข้อ ใส่แท็ก <h1> <h2> ให้ถูก ไม่ควรมี <h1> อยู่หลายอันในหน้าเว็บ
  • ใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหาและหัวข้อย่อย (H1, H2, H3)
  • เพิ่มรูปภาพและใส่คำอธิบายรูปที่เกี่ยวข้อง (Alt text)
  • หากใช้ WordPress ทำเว็บ เลือกปลั๊กอิน SEO ดีๆ จะมีชัยไปกว่าครึ่งครับ เพราะมันทำได้หมดเลย

On-Page SEO สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ 100% และเป็นพื้นฐานที่ต้องทำให้ดีก่อนที่จะไปทำ Off-Page SEO อย่างการหา Backlinks ถ้าเปรียบเป็นบ้าน On-Page SEO ก็เหมือนการตกแต่งบ้านให้สวยงามและใช้งานสะดวกก่อนที่จะเชิญแขกมาเยี่ยมครับ

5. หากทำวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research) ก่อน ระวัง Keyword ตกยุคเร็วนะ

  • Keyword Research หรือการวิจัยคำค้นหา คือกระบวนการค้นหาและวิเคราะห์คำหรือวลีที่คนใช้ค้นหาใน Google เพื่อหาข้อมูล สินค้า หรือบริการที่เราให้ การทำ keyword research จะช่วยให้เรารู้ว่าคำไหนที่คนค้นหาเยอะ คำไหนแข่งขันน้อย และคำไหนที่มีโอกาสทำให้เว็บเราติดหน้าแรก Google ได้ง่าย
  • เราสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือ SEMrush ในการหาคำค้นหาที่เหมาะสม แล้วนำคำเหล่านั้นมาใช้ในการเขียนเนื้อหา ทำ SEO และวางแผนการตลาดออนไลน์ให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการค้นหาครับ
  • แต่ในหน้างานจริง ระวังเรื่องการทำ Keyword Research ที่เมื่อทำเสร็จแล้ว บางคีย์เวิร์ดมีโอกาสเก่าหรือตกยุคเร็วมาก ต้องดูให้ดีนะครับ

6. Off-Page SEO สร้างลิ้งค์ต่าง ๆ และสร้างลิ้งค์จากภายนอก (Backlink)

ลิ้งค์มีทั้งหมด 2 แบบครับ ก็คือ

  • Internal Link (ลิ้งค์ภายใน)
  • External Link (ลิ้งค์ภายนอก) ก็จะแยกออกไป 2 แบบครับก็คือ
    • Backlinks (ลิงก์จากเว็บอื่นมาหาเรา) – สำคัญมากสำหรับ SEO เพราะเป็นการโหวตว่าเว็บเราดี
    • Outbound Links (ลิงก์จากเว็บเราไปเว็บอื่น) – เช่น อ้างอิงแหล่งข้อมูล

Internal Link ทำไม่ยากครับ ง่าย ๆ เลยก็คือ ย้อนกลับไปที่ข้อ 2) ในการวางโครงสร้างหน้าเพจ หากมีชื่อสินค้า 5 ชื่อ หรือชื่อที่เกี่ยวข้อง หน้าไหนหรือบทความไหนที่พูดถึงสินค้านั้น ๆ ทำลิ้งค์เข้าไปในหน้านั้นเลยครับ

ส่วน Backlink จะยากหน่อย เพราะมันคือการสร้างเครดิตจากนอกเว็บครับ อาจเหนื่อยหน่อยเพราะว่า..

  • สร้างแบ็กลิงก์คุณภาพจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง (และต้องเป็นแนวเดียวกันกับเว็บไซต์ เช่นทำเว็บเสริมความงาม แบ็คลิ้งค์ก็ต้องมาจากเว็บบริการเสริมความงามเช่นกัน จึงจะมีเครดิตดี)
  • การแลกบทความกับเว็บไซต์แนวเดียวกัน หรือเว็บไซต์พันธมิตรในประเภทธุรกิจเดียวกันจะช่วยได้มากกกกกก เลยครับ แม้แต่ตัวผมเองก็เคยคุยกับ Partner ของผมเรื่องนี้ในวงการเดียวกัน และแลกลิ้งค์กันครับ
  • แชร์เนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย ก็ถือว่าเป็น Off-Page SEO เช่นกัน

7. เว็บเก่า ไม่ทันสมัย ทำ SEO ไม่ได้? ปรับปรุงเว็บไซต์เลยครับ

ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับการทำเว็บไซต์ให้มี UX/UI ที่ดีครับ เช่น เข้าถึงง่าย มีการวางตำแหน่งหัวข้อและเนื้อหาชัดเจน มีรูปประกอบ ฯลฯ โดยล้วนแล้วแต่มีผลกับการทำ SEO ทั้งสิ้นครับ

ถ้าเว็บเป็นแบบ Custom แก้ไขไม่ได้เลย ปรับหัวข้อเว็บไม่ได้ ลงเนื้อหาใหม่ให้ถูกมาตรฐาน Google ไม่ได้ ปรับปรุงเว็บไซต์โดยการทำใหม่ดีกว่าครับ

แต่หากโดน Google ลงโทษ เช่น มี Link ไม่ดีเข้าเว็บเยอะเกินไป เว็บเป็นสแปม หรือร้ายแรงสุดคือโดน Deindex (ลบล้างออกจากผลการค้นหาทุกอย่าง) จดโดเมนทำใหม่ดีกว่าครับ เริ่มจาก 0 ดีกว่ากอบกู้ไป

รู้จักกับ E-E-A-T คืออะไร ทำไมถึงสำคัญใน SEO

E-E-A-T

หากคิด Content ไม่ออก หรือวางแผนการวางหน้าเว็บไม่ถูก ลองเริ่มจากอันนี้ก็ได้ครับ เพราะจะเป็นการวางหน้าเว็บที่ใช้ยาว ๆ ของจริง

E-E-A-T ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหาครับ

  • Experience คือประสบการณ์จริงของผู้เขียน
  • Expertise คือความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น ๆ
  • Authoritativeness คือความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากคนอื่น
  • Trustworthiness คือความไว้วางใจที่ผู้ใช้มีต่อเว็บไซต์

Google จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มี E-E-A-T สูงมากขึ้น โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับสุขภาพ การเงิน หรือหัวข้อที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ดังนั้นการสร้างเนื้อหาที่แสดงถึงประสบการณ์จริง ความเชี่ยวชาญ การอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และการสร้างความไว้วางใจผ่านการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี การมีข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน และรีวิวจากลูกค้าจริง จะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นใน Google ครับ

เขียนบทความ SEO ลงเว็บไซต์

เขียนบทความ SEO

การเขียนบทความเป็นวิธียอดฮิตในการทำ SEO ครับ ใช้กันมาทุกยุคทุกสมัย ในยุคนี้ไม่ใช่แค่การยัด keyword ให้เยอะ ๆ แล้ว Google ฉลาดขึ้นมากและให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้อ่าน และให้ประโยชน์จริง ๆ มากกว่า ดังนั้นการเขียนที่ดีจึงต้องเน้นที่เนื้อหาเป็นหลัก

วิธีเขียนเนื้อหาที่ดีต่อ SEO

  • วิจัยหัวข้อให้ลึก – ศึกษาว่าคนค้นหาต้องการรู้อะไรจริง ๆ ดูจาก Google Suggest, People Also Ask, และคำถามในโซเชียล
  • ตอบคำถามให้ครบถ้วน – อย่าตอบแค่ผิวเผิน ให้ข้อมูลที่ละเอียด ครบถ้วน และใช้ได้จริง
  • เขียนให้เข้าใจง่าย – ใช้ภาษาง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ยกตัวอย่างประกอบ อธิบายให้คนที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจได้
  • ให้ประสบการณ์จริง – เล่าจากประสบการณ์ตัวเอง ยกตัวอย่างเคสจริง ทำให้เนื้อหาน่าเชื่อถือ
  • แก้ปัญหาของผู้อ่าน – เขียนบทความที่แก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่คนมี ไม่ใช่เขียนเพื่อเขียน
  • เขียนเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร – หามุมมองใหม่ ๆ ข้อมูลที่คนอื่นไม่เขียน หรือเล่าแบบสไตล์ตัวเอง
  • ใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน – อ้างอิงสถิติล่าสุด ข้อมูลใหม่ ๆ ไม่ใช้ข้อมูลเก่า ๆ ที่ล้าสมัย
  • เขียนยาวพอสมควร – ลงรายละเอียดให้เพียงพอ ไม่ใช่เขียนยาวเพื่อให้ยาว แต่ยาวเพราะมีเนื้อหาจริง
  • แบ่งหัวข้อให้ชัดเจน – จัดระเบียบเนื้อหาให้หาอ่านง่าย ไม่ปนกัน แต่ละส่วนมีเนื้อหาที่ชัดเจน
  • ใส่ใจการเล่าเรื่อง – เขียนให้น่าสนใจ มีจุดเด่น ไม่ใช่แค่ข้อมูลแห้ง ๆ ทำให้คนอยากอ่านต่อ

สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง

  • อย่าเขียนซ้ำเนื้อหาเดิม – ไม่ copy-paste หรือเขียนเหมือนคนอื่น 100%
  • อย่ายัด keyword แบบบังคับ – ใช้ keyword เป็นธรรมชาติ อย่าให้ฟังแปลก ๆ
  • อย่าเขียนเพื่อ Google อย่างเดียว – คนอ่านต้องได้ประโยชน์ด้วย (สำคัญมากกกก ครับ ผมเห็นหลายคนทำแบบนี้ มันก็ทำได้นะอันดับ ติ๊กถูกได้ว่าฉันติดหน้าแรก แต่คนอ่านไม่ได้ ทำยอดขายไม่ได้ ก็ต้องย้อนกลับมาถามละครับเพื่ออะไร)

ใช้ AI เขียนบทความ SEO ได้ไหม

AI เขียนบทความ SEO

ได้นะครับ Google ไม่ได้ห้าม

ปฎิเสธไม่ได้ครับยุคนี้คือยุค AI แล้ว คนใช้ AI สร้างรูป วีดีโอ ทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์ เขียนโค้ด เขียนบทความ ฯลฯ แต่ Google ไม่ได้ห้ามนะครับ เขาพูดเองกับปากเลย

แต่ว่า!!!

แต่ Google เขามี Quality Rater ของเขาเองครับ AI ไม่ได้ห้ามใช้แต่ ถ้าย้อนกลับไปที่คำที่ว่า “Google ต้องการให้ผู้ชมเข้าเว็บมา และได้คำตอบสุดท้ายเลย” ถ้าบทความหรือหน้านั้นให้คำตอบผู้ชมที่คลิกเข้ามาไม่ได้ Google ก็ทำอันดับที่ดีให้ไม่ได้ครับ ไม่ได้เกี่ยวว่าบทความยาวแค่ไหน ยังไงบทความหรือหน้านั้นไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ

และอีกสถิตินึงจากเว็บไซต์ของคุณ Neil Patel นักทำ SEO ระดับโลก สรุปสั้นๆ จากสถิติ Traffic ที่เข้าอ่านบทความระหว่างบทความ AI และบทความที่มนุษย์เขียน อันไหนคนเข้าเยอะกว่ากัน แน่นอนครับ คนเขียน

AI vs Human: Who Writes Better Blogs That Get More Traffic? by Neil Patel
Credit: AI vs Human: Who Writes Better Blogs That Get More Traffic? by Neil Patel

Traffic คนเข้ามาอ่านบทความขึ้นลง ๆ ต่อเดือนค่อนข้างมาก ในขณะเดียวกันบทความที่มนุษย์เขียนมีแต่ขึ้นตลอด 5 เดือน โดยในเดือนที่ 5 มี Traffic ขึ้นมากกว่า 5.44 เท่าเทียบกับ Content AI

อันนี้แทบไม่ต้องถามเรื่อง Retention หรือ Readbility เลยครับ โดยธรรมชาติเนื้อหาที่ถูกปั่นจาก AI จะมีความกลวง ๆ ของมันอยู่ โดยมันจะพยายามยืดข้อความให้ยาวๆ แต่สาระไม่มี ไม่ต้องถามถึง bot ที่มาเก็บข้อมูลครับ คนก็ไม่อยากอ่าน

แต่ทางแก้ก็มีครับ คือใช้ AI ให้เป็น เขียน prompt ให้เป็นตรวจและ Fact check ก่อนอัพ แล้วลองอ่านดูให้เหมือนกับเราเป็นคนอ่านครับ ว่าเราจะอ่านบทความนี้รู้เรื่อง ได้ประโยชน์ และจะก่อให้เกิดความสนใจในการสร้างการขาย เหมือนกับที่ผู้ชมจะเข้ามาอ่านตอนเราเผยแพร่หรือเปล่าครับ

เขียนบทความ SEO อะไรดีล่ะ

หากต้องการทำบทความ ลองทำบทความที่แตกต่างจริง ๆ จากคู่แข่งในตลาดครับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ Google มี AI Overview แล้ว

Google AI Overview

คำแนะนำง่าย ๆ ก็คือบทความ ถ้าอะไรที่ Google AI Overview สามารถตอบได้ ไม่ต้องไปเขียนมันครับ จะไปเขียนทำไมในเมื่อ AI ตอบได้ เขียนไป Google AI Overview ก็ดูดไปสรุปแล้วก็ไปโชว์ ไม่มี Traffic ให้เรา

แต่ก็จะมีข้อยกเว้นๆ หน่อย เช่นอะไรที่ Niche หรือเฉพาะทางจริง ๆ ที่บทความคุณจะเป็นประโยชน์มาก ๆ เขียนเลยครับ

จะวัดผล SEO ได้อย่างไร

วิธีทำ SEO Analytics

ตัวชี้วัดหลักที่ต้องดู

  • อันดับการค้นหา (Keyword Ranking) – ดูว่าเว็บเราอยู่หน้าที่เท่าไหร่ใน Google เมื่อค้นหา keyword เป้าหมาย
  • ปริมาณการเข้าชม (Organic Traffic) – จำนวนคนที่เข้าเว็บผ่านการค้นหาใน Google ยิ่งเยอะยิ่งดี
  • Click-Through Rate (CTR) – อัตราการคลิกจากหน้าผลการค้นหามาเว็บเรา ถ้าสูงแปลว่า Title และ Description น่าสนใจ
  • จำนวน Keyword ที่ติดหน้าแรก – ดูว่ามี keyword อะไรบ้างที่ติดหน้า 1 Google
  • Domain Authority (DA) – คะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บโดยรวม ยิ่งสูงยิ่งดี
  • จำนวน Backlinks – ลิงก์จากเว็บอื่นที่ชี้มาหาเรา ยิ่งมีเยอะจากเว็บดี ๆ ยิ่งช่วย SEO

เครื่องมือวัดผล SEO

เครื่องมือฟรี:

เครื่องมือเสียเงิน:

  • SEMrush – ครบเครื่องสำหรับ SEO analysis
  • Ahrefs – เก่งเรื่อง backlink analysis และ keyword research

สัญญาณที่บอกว่า SEO ได้ผล

  • Organic traffic เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • Keyword หลัก ๆ เริ่มขึ้นหน้าแรก Google
  • มีคนค้นหาชื่อแบรนด์เรามากขึ้น
  • เวลาที่คนอยู่ในเว็บ (Session Duration) เพิ่มขึ้น
  • Bounce Rate ลดลง (คนไม่ออกจากเว็บทันที)

การวัดผล SEO ต้องดูหลายตัวชี้วัดรวมกันครับ ไม่ใช่แค่อันดับ keyword เดียว ใช้เครื่องมือฟรีก่อน ถ้าจริงจังแล้วค่อยลงทุนซื้อเครื่องมือเสียเงิน และที่สำคัญคือต้องอดทนเพราะ SEO ไม่ใช่งานที่เห็นผลข้ามคืน

ข้อแนะนำ/คำเตือน (จากประสบการณ์ทั้งตัวเอง และลูกค้าที่เจอมาเล่าให้ฟังครับ)

ข้อแนะนำ/คำเตือน SEO

❌ สิ่งที่อย่าหาทำ

  • อย่าซื้อ Backlinks มั่ว ๆ ถูก ๆ – Google จับได้แน่นอน ระวังจะโดน penalty ทำให้อันดับตกหรือหายจากการค้นหา (แก้ยังไงกลับไปอ่านข้อนี้ครับ)
    • มีหลายเจ้าที่ขายกันถูก ๆ เน้นขายอย่างเดียวไม่แนะนำทำ SEO ส่วนไหนเลย ไม่มีทำ Onpage ไม่มีวิเคราะห์เว็บไซต์เลย ขายอย่างเดียว (ย้อนกลับไปอ่านว่า Google เขาให้ค่า Backlink อย่างไร)
    • ตัวผมเองเคยมีกิจการที่ลองซื้อเหมือนกัน พอตรวจสอบด้วยเครื่องมือ SEO ถึงรู้ว่ามาจากเว็บที่ใช้วิธีสกปรก ต้องนั่ง Disavow (บอก Google ว่าลิ้งค์นี้ไม่ใช่ของฉันน้าาา)
    • มีเคสที่ผมเจอคือทำ SEO แล้วใช้ Backlink พวกนี้ในการควบคุมให้เว็บติดอันดับตามสัญญา แต่พอหมดสัญญาแล้วปลดออกให้หมด อันดับเว็บหายเลย
  • อย่าใช้ Black Hat SEO – เทคนิคต้องห้าม เช่น keyword stuffing, cloaking, hidden text จะทำให้โดนแบนได้ครับ ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณทำอะไรอยู่ อยากลองของ เตือนไว้ก่อนนะครับว่าอย่าเสียใจตามหลังนะครับ
  • อย่าก๊อปปี้เนื้อหาคนอื่น – Google เกลียดเนื้อหาซ้ำ จะไม่จัดอันดับให้เลย (แถมเสี่ยงโดนเจ้าของเนื้อหาฟ้องเอาได้นะครับ)
  • อย่าใช้ PBN (Private Blog Network) – สร้างเว็บปลอมเพื่อลิงก์มาหาตัวเอง บอกไว้ก่อนนะครับ Google ฉลาดมาก วิธีนี้เคยเป็นที่นิยม แต่อย่าหาทำครับ
  • ทำเว็บไซต์ไม่รองรับมือถือ – คนใช้มือถือค้นหามากกว่าคอมพิวเตอร์ ถ้าเว็บไม่รองรับมือถือ Google จะปัดตกอันดับง่ายเลยครับ

⚠️ ข้อควรระวัง

  • SEO ใช้เวลานาน – อย่าคาดหวังผลใน 1-2 เดือน ปกติต้องรอ 3-6 เดือน เพราะฉนั้น ใจเย็น ๆ สู
  • Google เปลี่ยน Algorithm บ่อย – สิ่งที่ได้ผลวันนี้ อาจไม่ได้ผลพรุ่งนี้
  • อย่าไว้ใจ “SEO รับประกันหน้าแรก” จนเกินไป – ไม่มีใครรับประกันได้ 100% เพราะ Google เปลี่ยนตลอด (แต่ถ้ามันอยู่ในสัญญา คนทำก็ต้องทำให้ติดหน้าแรกแหละนะ)
  • ข้อมูล Analytics อาจเพี้ยน – Bot หรือ Spam traffic ทำให้ตัวเลขไม่ถูกต้อง
  • ระวัง Over-Optimization – ทำ SEO มากเกินไป จนดูไม่เป็นธรรมชาติ

ควรเลี่ยงการทำ SEO อย่างไม่ถูกต้อง หรือได้ผลชั่วข้ามคืน สายเทาหรือสายดำ หรือการทำแบ็คลิ้งค์แบบผิด ๆ ซึ่งอาจมาได้หลายลักษณะ เช่นไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็บไซต์ก่อนเริ่มยิงแบ็คลิ้งค์ หรือยิงแบ็คลิ้งค์จากเว็บไซต์ผิดกฎหมาย หรือซื้อแต่แบ็คลิ้งค์อย่างเดียวแต่ไม่สนว่าแบ็คลิ้งค์นั้นได้มาอย่างไร ซึ่งนอกจากจะเป็นผลเสียต่อเว็บไซต์แล้ว จะส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ในระยะยาวอีกด้วย

ดังนั้นควรเลือกผู้ให้บริการ SEO ที่เชื่อถือได้เท่านั้น และมีการดูกลุ่มลูกค้า ข้อมูลเว็บไซต์โดยละเอียดก่อนให้บริการ